วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โครงการศึกษาและพัฒนาไม้รักใหญ่




เครื่องเขินทรงคุณค่า ภูมิปัญญาไทย




      เครื่องเขินทรงคุณค่าภูมิปัญญาไทย
โดย  สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้


แม่ครูดวงกมล ใจคำปัน สาธิตการทำเครื่องเขิน




สาธิตการทำเครื่องเขิน เพื่อใช้สอยในบ้าน

กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน





       กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน 1/2 : 31 เมษายน 2556




 กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน 2/2 : 31 เมษายน 2556


บทสรุป : สถานะของเครื่องเขินในสังคมปัจจุบัน

เมื่อเครื่องใช้ในกลุ่มพลาสติก อลูมิเนียมและสแตนเลสเข้ามาแทนที่ เครื่องเขินซึ่งแม้ว่าจะยังคงมีการผลิตอยู่แต่ก็เหลือน้อยมากและพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งประโยชน์ใช้สอย วัสดุที่ใช้และวิธีการผลิต จากการสำรวจและทำวิจัยในปัจจุบันพบว่าเครื่องเขินอยู่ในฐานะเป็นของสะสมและของที่ระลึกมากกว่าใช้จริงอย่างที่เคยเป็นมา
เครื่องเขินในฐานะของสะสม หมายถึงการเก็บรักษาเพื่อการอนุรักษ์และการศึกษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษโดยผ่านเครื่องเขิน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สะสมเครื่องเขินโบราณที่ปัจจุบันไม่มีการใช้แล้วกับของใหม่ที่เลียนแบบของเดิมและของที่มีการพัฒนารูปแบบ วัสดุและวิธีการผลิตแบบใหม่

เครื่องเขินในฐานะของที่ระลึก การสะสมเป็นของที่ระลึกส่วนใหญ่เป็นของที่ทำขึ้นใหม่ในปัจจุบันทั้งเลียนแบบของโบราณและรูปทรงใหม่ ความนิยมในการใช้เครื่องเขินในฐานะเป็นของที่ระลึกและของฝากมีมานานแล้ว อย่างน้อยในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25 เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปพุกามและได้รับคำบอกเล่าเรื่องที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกช่างทำของลงรักสำหรับขายให้ฝรั่งที่เมืองย่างกุ้ง “...เดี๋ยวนี้รัฐบาลตั้งโรงเรียนช่างรักขึ้นแห่ง ๑ อยู่ไม่ห่างที่พักนัก ที่โรงเรียนนั้นทำแต่ของฝีมือดี และมักทำของแปลกๆ ส่งไปขายฝรั่งที่เมืองร่างกุ้ง...” ข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับคำบอกเล่าของนางจันติ๊บ ช่างทำเครื่องเขินที่เชียงตุงที่กล่าวว่า ตอนที่เจ้าฟ้าเชียงตุงยังมีอำนาจอยู่นั้นได้เข้ามาเป็นผู้อุปถัมภ์การทำเครื่องเขินและหาตลาดให้ ตลาดที่สำคัญคือร่างกุ้ง นางจันติ๊บเล่าให้ฟังว่าเจ้าฟ้าเคยนำเครื่องเขินไปขายให้กับฝรั่งที่ร่างกุ้งด้วยตนเอง
จากการกลายเป็นของที่ระลึกนี้เองทำให้ช่างปัจจุบันหันมาผลิตเครื่องเขินในรูปทรงใหม่มากขึ้น เช่น กล่องใส่ทิชชู กล่องสบู่ กรอบรูป โคมไฟ และแก้วกาแฟ เป็นต้น

เครื่องเขินในฐานะของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องเขินที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ
  • การใช้ในลักษณะนี้ทำให้เครื่องเขินบางชิ้นต้องเปลี่ยนรูปแบบใช้สอย เช่น นำแอ็บขนาดเล็กไปใส่คลิปหนีบกระดาษ ใช้ขันแดงวางของใช้ เช่น แจกัน กรอบรูป และโทรศัพท์ ใช้โตกเป็นพานใส่ผลไม้ เป็นต้น
  • เช่นในกลุ่มปกาเกอะญอยังใช้ภาชนะที่เป็นคัวฮักคัวหางทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม จากการใช้จริงทำให้มีการผลิตเพื่อขายให้ชาวปกาเกอะญอด้วยกัน นายมานะกล่าวว่า “...ตอนนี้ยังทำขายอยู่ ตะกร้าใบเล็ก 40 บาท ใบใหญ่ 50 บาท ส่วนแอ็บราคา 150 บาท ทั้งใบเล็กและใบใหญ่ กลุ่มที่เข้ามาซื้อจะเป็นกลุ่มปกาเกอะญอในแถบแม่สะเรียง...” แต่ตอนนี้ก็ผลิตน้อยลงเพราะคนใช้มีจำกัดและส่วนใหญ่ใช้ในงานประเพณีเท่านั้น ส่วนเครื่องใช้ในครัวเรือนก็หันมาใช้เครื่องใช้พลาสติกซึ่งถูกและหาง่ายกว่า



“เครื่องเขิน” ในสังคมล้านนาปัจจุบัน

ในสมัยปัจจุบันเมื่อ พลาสติก อลูมิเนียม และสแตนเลส เข้ามามีบทบาทในการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้คัวฮัก คัวหาง หรือเครื่องเขินลดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบหมดไปจากสังคมล้านนา ที่ยังคงอยู่ก็กลายสถานะเป็นของสะสม ของที่ระลึกและของประดับตกแต่งบ้านเรือน และเมื่อเทียบราคาของ “คัวฮัก คัวหาง” กับคัวพลาสติกแล้วคัวฮักคัวหางจะมีราคาสูงมาก นอกจากนั้นพลาสติกยังสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า ด้วยเหตุนี้คนในยุคปัจจุบันเป็นจำนวนมากไม่รู้จักและไม่เคยเห็น หรือเคยเห็นก็ไม่ทราบว่าของใช้เหล่านี้คืออะไร ปัจจัยที่ทำให้เครื่องเขินหายไปจากสังคมประกอบด้วย




  1. ใช้วัสดุใหม่เข้ามาแทนที่ในการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือน วัสดุใหม่หมายถึง พลาสติก อลูมิเนียม และสแตนเลส โดยเฉพาะสินค้าที่ทำจากพลาสติกสามารถผลิตได้ครั้งละมากๆ และสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ของใช้ขนาดเล็ก เช่น จาน ชาม ถ้วย แก้วน้ำ ช้อน และตะกร้า ไปจนถึงของที่มีขนาดใหญ่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และตู้เสื้อผ้า ในขณะที่วัสดุที่ใช้ในการผลิตเครื่องเขินนับวันจะหายากมากขึ้น โดยเฉพาะยางรักซึ่งหายากและมีราคาแพงมากคือกิโลกรัมละประมาณ 500 บาท  และจากการที่ยางรักมีราคาแพงและหายากทำให้ผู้ขายมักจะปะปนขยะ เช่น ใบไม้และกิ่งไม้ลงไปในยางรักด้วย สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้มาก นอกจากนั้นการผลิตเครื่องเขินยังใช้เวลามากกว่าจะได้ชิ้นงานแต่ละชิ้น เมื่อเทียบกับการผลิตพลาสติก ฉะนั้นเราจึงเห็นเครื่องมือเครื่องใช้พลาสติกเข้ามาวางขายในตลาดแทนที่ของใช้ประเภทเครื่องเขิน ซึ่งหายไปจากตลาดนานมาแล้ว
  2. การขาดแคลนช่างผู้ผลิต เมื่อความต้องการใช้เครื่องเขินในฐานะเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านหมดไป ประกอบกับการผลิตผลงานแต่ละชิ้นค่อนข้างช้า การขายยากเพราะคนไม่นิยมและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้ช่างมีรายได้น้อย ช่างผู้ผลิตจึงหันไปทำงานอื่นแทนมากขึ้น รวมทั้งลูกหลานส่วนใหญ่ไม่สืบทอดภูมิปัญญาการผลิตอีกต่อไป

จากปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ทำให้การผลิตคัวฮักคัวหาง อันเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของสังคมล้านนาได้สูญหายไป บางจังหวัดเช่น แพร่ น่าน และลำปางไม่มีการผลิตอีก เช่นในจังหวัดน่าน เคยมีหมู่บ้านผลิต “คัวฮักคัวหาง” ที่บ้านดอนแก้ว (บ้านพ้อย) ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา ความรู้ในการทำเครื่องเขินโดยเฉพาะ ขันหมากในหมู่บ้านสืบทอดมาจากเชียงใหม่ เนื่องจากพ่อมูลคนในหมู่บ้านกับครูบาอภิวงศ์เดินทางไปเรียนจากเชียงใหม่ แล้วนำไปถ่ายทอดให้กับคนในหมู่บ้าน จนเป็นที่รู้จักกันในชุมชนเมืองน่านถึงรูปแบบการผลิตขันหมากเครื่องเขินจากแหล่งผลิตดังกล่าวว่า “ขันหมากบ้านพ้อย” รูปแบบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผลิตในหมู่บ้านนี้ประกอบด้วย ซ้าหลอด ซ้าหวด ซองพลู และซองยาเส้น เป็นต้น ของเหล่านี้มีทั้งคนมารับซื้อไปขายและช่างผู้ผลิตนำไปขายเองถึงเชียงแสนและเชียงราย การผลิตคัวฮักคัวหางในสมัยนั้นสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่การผลิตของหมู่บ้านนี้ได้เลิกไปกว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากคนไม่นิยมใช้ ทางองค์การบริหารส่วนตำบลพยายามเข้ามารื้อฟื้นและฟื้นฟูการผลิตใหม่แต่ก็ไม่ประสบผลต้องเลิกไปในที่สุดเพราะไม่มีตลาดรองรับ ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั่วไปในล้านนา เมืองเชียงใหม่ซึ่งเคยมีการผลิตคัวฮักคัวหางในหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านต้นแหน อำเภอสันป่าตองและบ้านนันทาราม อำเภอเมือง แต่ปัจจุบันเหลือแหล่งผลิตใหญ่ๆ เพียง 2 แห่งคือ ที่บ้านนันทาราม ถนนนันทาราม และบ้านศรีปันครัว แต่การผลิตในหมู่บ้านทั้งสองแห่งนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปทั้งรูปแบบ วัสดุ และเทคโนโลยีในการผลิต




เครื่องเขิน : วัฒนธรรมร่วมของกลุ่มคนในเอเชีย

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า วัฒนธรรมการใช้และการผลิตเครื่องเขิน เป็นวัฒนธรรมร่วมของกลุ่มคนในเอเชียทั้ง พม่า ลาว และเวียตนาม รวมทั้งจีนและญี่ปุ่นด้วย ดังมีตัวอย่างดังนี้
เครื่องเขินในพม่า    มีแหล่งผลิตอยู่ที่หมู่บ้านในเมืองพุกาม “...เครื่องลงรักนั้นทำกันตามบ้านแห่งละเล็กละน้อย โดยปกติจะมีคนอื่นมารับซื้อจากผู้ทำรวบรวมเอาไปเที่ยวขาย...” นอกจากนั้นทางพม่ายังตั้งโรงเรียนช่างรักเพื่อสร้างคนที่มีความรู้ในการทำเครื่องเขินจนสามารถใช้ประกอบอาชีพต่อไปในอนาคตได้“...โรงเรียนช่างรักที่รัฐบาลตั้ง ณ เมืองพุกาม วิธีที่เขาจัดการถูกใจฉันมาก ด้วยเขาถือหลักว่า จะหัดนักเรียนให้ไปทำของลงรักขายเป็นอาชีพโดยลำพังตนในวันหน้า...”
เครื่องเขินในญี่ปุ่น    ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการผลิตเครื่องเขินใช้ในชีวิตประจำวัน   ยางรักที่ใช้ในการผลิตส่วนหนึ่งนำเข้าจากกรุงศรีอยุธยา หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการนำเข้ายางรักจากกรุงศรีอยุธยาไปญี่ปุ่นคือ รายชื่อและปริมาณสินค้าในบัญชีของสำเภาจีนที่ส่งไปยังเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ.2254 ในบัญชีดังกล่าวปรากฏรายการสินค้าจากอยุธยาดังต่อไปนี้ “...ไม้ฝาง 880,900 ชั่ง น้ำตาลกรวด 7,700 ชั่ง รัก 30,000 ชั่ง...”  ญี่ปุ่นเรียกยางรักว่า “สี” “...สี (รัก) โดยเฉพาะที่ตีตราไว้ว่า “รักสีดำ” จะนำเข้ามาเป็นขวดหรือโอ่ง เช่น สั่งเข้ามาหนัก 12,000 ชั่ง บรรจุไว้ในขวดหรือโอ่ง 36 ขวดหรือโอ่ง เป็นต้น...”
ญี่ปุ่นมีเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดที่นิยมทาด้วยยางรัก เช่น กระปุกเครื่องหอมซึ่งเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในพิธีชงชา กระปุกเครื่องหอมที่ใช้ในพิธีนี้มี 2 ชนิดคือ กระปุกเครื่องเขิน และกระปุกเครื่องเคลือบ กระปุกทั้ง 2 ชนิดนี้จะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน กล่าวคือกระปุกเครื่องเขินใช้สำหรับใส่เครื่องหอมบูชาพระและใช้ดม ส่วนกระปุกเครื่องเคลือบนิยมใช้เป็นภาชนะบรรจุเครื่องหอมในพิธีชงชา นอกจากกระปุกเครื่องหอมแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังนิยมนำยางรักไปใช้ในงานหัตถกรรมอื่นๆ อีกด้วย เช่น กล่องลงรัก และหมอนสูงลงรัก เครื่องใช้เหล่านี้ คงจะเป็นของที่นิยมใช้กันทั่วไปในสังคมของชาวญี่ปุ่น รวมทั้งส่งเป็นสินค้าออกซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะส่งมาขายให้กับชาวญี่ปุ่นที่ออกมาตั้งถิ่นฐานนอกประเทศ ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานการส่งออกเครื่องใช้กลุ่มนี้ในรายการสินค้าของสำเภาสยามที่เดินทางกลับจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2225 “...ทองแดง 157,300 ชั่ง เหล็ก 2,500 ชั่ง กล่องลงรัก 8 ใบ หมอนไม้สูงลงรัก 10 ใบ กล่องลงรักขนาดเล็ก 6 ใบ หัตถกรรมลงรัก 10 ใบ ลูกเกาลัด 40 ถุง และเต้าเจี้ยวมิโซะ 15 โอ่ง/ไห เป็นต้น...”  
เครื่องเขินในจีน  จีนเรียกการลงรักว่า “ชี่”  ชาวจีนนำยางรักมาใช้กับภาชนะเครื่องเรือนและศิลปวัตถุ รวมทั้งใช้รักษาบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้บนไม้ไผ่ พวกเขากล่าวว่าได้รู้จักการลงรักมานานแล้วและเป็นผู้เผยแพร่ความรู้นี้ให้กับเมืองต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “...ชาวจีนรู้จักคุณสมบัติในการป้องกันเนื้อไม้ของยางที่ได้จากกิ่งของต้นรักมาอย่างน้อย 3,000 ปีมาแล้ว และแพร่หลายไปทั่วเอเชียอาคเนย์ ... ชิ้นงานตัวอย่างเก่าแก่ที่สุดของจีนเท่าที่รู้อยู่ในสมัยราชวงศ์ซาง (ค.ศ. 1523-1028 ปีก่อนคริสต์ศักราช)...”  สำหรับยางรักนั้นมีหลักฐานว่าเป็นของภายในประเทศจีนเอง “...ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ และมีการปลูกด้วย...”  และสันนิษฐานว่าจีนคงมีการนำเข้ายางรักจากสยามด้วย
ดังจะเห็นจากหลักฐาน เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ที่กล่าวว่า “...ต้นรักให้น้ำยางชั้นดีใช้เป็นยาเคลือบที่มีราคาสูงในการทำเครื่องเขินที่ประเทศจีน...”  มีหลักฐานการพบชิ้นส่วนของ “เครื่องเขิน” ที่นำเข้าจากจีนในแหล่งเรือจมที่อ่าวไทย 2 แหล่ง คือ
  1. แหล่งเรือจมรางเกวียน  แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ประกอบด้วยเรือจม 1 ลำ จมอยู่ในแนวร่องน้ำคราม ห่างจากฝั่งบ้านบางเสร่ อำเภอสัตหีบ ไปทางตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากเกาะรางเกวียนไปทางเหนือราว 800 เมตร นักโบราณคดีบางคนเรียกเรือรางเกวียนว่า เรืองาช้าง และเรือเหรียญอีแปะ เพราะพบงาช้างและเหรียญอีแปะ ซึ่งเป็นเหรียญเงินของจีนเป็นจำนวนมาก กล่าวคือพบงาช้างประมาณ 25-30 กิ่ง และเหรียญอีแปะอีกประมาณ 200 กิโลกรัม นอกจากงาช้าง เหรียญอีแปะ และสินค้าอื่นอีกจำนวนมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผา แท่งทองแดง และคันฉ่องแล้ว ยังได้พบชิ้นส่วนของเครื่องเขินลงพื้นสีดำลวดลายสีแดง 1 ชิ้น อยู่ท่ามกลางสินค้าต่างๆ ซึ่งนักวิชาการกล่าวว่า เมื่อดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นเครื่องเขินของจีนหรือญี่ปุ่น
  2. แหล่งเรือจมสีชัง แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ประกอบด้วยเรือจม 1 ลำ จมอยู่ในแนวร่องน้ำลึกประมาณ 31 เมตร ห่างจากเกาะสีชังราว 3 กิโลเมตร ในบริเวณนี้ได้พบสิ่งของเป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผาจีนชนิดดี ก้อนตะกั่ว และชิ้นส่วนของเครื่องเขินของจีนลายมังกรและกิเลน การพบเครื่องเขินในปริมาณน้อยเช่นนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของใช้ในเรือมากกว่านำเข้ามาเป็นสินค้า

เครื่องมือเครื่องใช้ที่เรียกว่า “เครื่องเขิน”

เครื่องเขินเป็นงานหัตถกรรมชนิดหนึ่งซึ่งทำจากไม้ โดยเฉพาะไม้ไผ่ซึ่งพบอยู่ทั่วไปในล้านนา ไม้ไผ่ที่นิยมนำมาทำเครื่องเขินคือ ไผ่เฮียะทั้งนี้เพราะมีลักษณะลำต้นเรียวตรงขนาดลำต้นไม่ใหญ่นัก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-6 เซนติเมตร และมีลำปล้องยาวมากประมาณ 40-60 เซนติเมตรซึ่งจัดเป็นไม้ไผ่ที่มีลำปล้องยาวที่สุด เนื้อบางและเบา สามารถขึ้นรูปภาชนะที่ต้องการความบางเป็นพิเศษได้ง่ายแม้จะเป็นภาชนะขนาดใหญ่ก็ตาม และเมื่อเคลือบทาด้วยยางรักแล้วก็จะมีความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับไม้ชนิดอื่น “...การที่ไม้ไผ่มีปล้องยาวและเรียวตรงทำให้ขึ้นรูปภาชนะได้ง่ายทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ นอกจากนั้นไผ่เฮียะยัง เหนียวและไม่แตกทำให้สามารถจักตอกเป็นเส้นได้ง่าย...”แต่อย่างไรก็ตามไผ่เฮียะยังมีข้อเสียอยู่บ้างคือ มอดชอบไชกินเนื้อไม้ดังนั้นช่างจึงเลือกไม้ที่มีอายุไม่เกิน 2-3 ปี และนำไปแช่ในน้ำผสมกำมะถันต้มประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะนำมาสานขึ้นรูป



ขั้นตอนการทำเครื่องเขิน  ในการทำเครื่องเขินแต่ละชิ้นต้องใช้ความรู้ความสามารถและมีความชำนาญมาก รวมทั้งยังต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์กว่าจะได้ชิ้นงานแต่ละชิ้น ขั้นตอนสำคัญในการผลิตที่สำคัญมีดังนี้


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เครื่องเขินล้านนาภูมิปัญญาจากอดีต "จานรองแก้ว"




จัดทำโดย สาขาวิชาการออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่


สถานที่ถ่ายทำ ร้านประเทืองเครื่องเขิน

“ร้อยเรื่องเมืองไทย” ตอน “เครื่องเขินเชียงใหม่”







ร้อยเรื่องเมืองไทยตอน เครื่องเขินเชียงใหม่” 
 เขิน คือ เครื่องใช้ที่ทำจากไม้หรือไม้ไผ่สา­น ทาทับด้วยยางรักธรรมชาติ ขูดลวดลาย ลงสีหรือปิดทองคำเปลว เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนล้านนา ถ่ายทอดสืบต่อยังคนรุ่นปัจจุบัน 


ประเภทของเครื่องเขิน (5)

หีบผ้าใหม่

ในอดีตเมื่อผู้ชายชาวล้านนาจะเข้าพิธีแต่งงานและย้ายไปอยู่กับฝ่ายภรรยาสิ่งที่ ต้องนำติดตัวไปก็คือ ดาบประจำตัวและหีบผ้าใหม่สำหรับใส่เสื้อผ้าในการย้ายบ้านเพื่อ เป็นการแสดงความมีหน้ามีตาและรสนิยมของวงศ์ตระกูล พ่อแม่และญาติของฝ่ายชาย จะสรรหาหีบผ้าใหม่สำหรับงานแต่งงานที่หรูหราและวิจิตรเลอค่าตามยุคตามสมัยในอดีต หีบผ้าเครื่องเขินทรงแปดเหลี่ยมยาวสำหรับใส่ผ้าพับขนาดกว้างประมาณ 10 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว สูงประมาณ 15 นิ้วเป็นที่นิยมกันมากเทคนิคการสานไม้ไผ่คาดด้วยตอกยางรักสีดำ สีแดงในลักษณะต่าง ๆ เป็นแบบมาตราฐานของหีบผ้าใหม่ผู้มีฐานะดีจะว่าจ้างช่างให้ตก แต่งเขียนลวดลายพันธุ์พฤกษาด้วยชาดและแต้มทองคำเปลวอย่างสวยงามฝาด้านบนของ หีบผ้าจะอูมนูนเน้นความรู้สึกเกี่ยวกับความมั่งครั่งมีอุดมสมบูรณ์ เชิงของหีบผ้าจะบาน ผายออกคล้ายกับขันหมากพื้นเมือง ไม่ปรากฎว่ามีการตกแต่งหีบผ้าใหม่ด้วยการฮายดอก หรือ ติดกระจกแก้วอังวะ หีบผ้าใหม่จะเป็นจุดสนใจในพิธีแต่งงาน แต่จะถูกเก็บไว้ใน ห้องนอนอย่างมิดชิดเป็นสมบัติของลูกหลานต่อไปหลังจากเสร็จพิธี

หีบผ้าใหม่

ในช่วง 80 ปีมานี้ ความนิยมใช้หีบผ้าเครื่องเขินได้ลดน้อยลง ส่วนใหญ่หันมาใช้หีบไม้สักมีขาแบบกำปั่นจีนต่อมานิยมกำหั่นเหล็กแบบฝรั่งแทน ปัจจุบันนี้ใช้ กระเป๋าเดินทางหรือไม่ก็เป็นตู้เสื้อผ้าสมัยใหม่ไปเลย หีบผ้าใหม่จึงเป็นรูปแบบของเครื่องเขินในอดีตเท่านั้น


ประเภทของเครื่องเขิน (4)


ขันโตก

ขันโตก หรือ โตก ภาชนะสำหรับวางสำรับอาหารของชาวล้านนา บ้างเรียก สะโตก มีรูปทรงกลม ความกว้างมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 30 เซนติเมตรขึ้นไป มีเชิง สูงประมาณ 1 ฟุต มีทั้งขันโตกไม้ และขันโตกหวายการใช้งานของขันโตกนั้น ใช้เป็นภาชนะที่วางถ้วยอาหารกับข้าว เมื่อใส่กับข้าวแล้วยกมาตั้งสมาชิกในครอบครัวหรือแขกที่มาบ้านจะนั่งล้อมวงกันกินข้าว ใช้ใส่ดอกไม้ธูปเทียนแทนขันดอก ใช้ใส่เครื่องคำนับเป็นขันตั้ง ใช้ใส่ผลหมากรากไม้

ขันโตกแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
1. ขันโตกหลวง หรือ สะโตกหลวง ทำด้วยไม้ขนาดใหญ่ ตัดท่อนมากลึงหรือเคี่ยนเป็นขันโตก มีความกว้างประมาณ2550 นิ้ว ตามขนาดของไม้ที่หามาได้ และนิยมใช้การในราชสำนักในคุ้มในวังของเจ้านายฝ่ายเหนือทั่วไป รวมทั้งใช้ในวัดวาอารามทั่วไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับยศศักดิ์ และความยิ่งใหญ่ของชนชั้นผู้ปกครองในการที่จะใช้เลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองด้วย ส่วนวัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้ควรแก่การเคารพนพนอบ มีประชาชนนำอาหารไปถวายมาก ดังนั้นประชาชนจึงนิยมทำขันโตกหลวงไปถวายวัด
ขันโตกหลวง
2. ขันโตกฮาม หรือ สะโตกทะราม เป็นขันโตกขนาดกลางประมาณ 17-24 นิ้ว (คำว่า ฮาม หรือ ทะรามนี้ หมายถึง ขนาดกลาง) ใช้ไม้ขนาดกลางมาตัดและเคี่ยนหรือกลึงเหมือนขันโตกหลวง ลงรักทาหางอย่างเดียวกัน ผู้ที่ใช้ขันโตกขนาดนี้ มักได้แก่ครอบครัวขนาดใหญ่ เช่น คหบดี เศรษฐีผู้มีอันจะกิน หรือถ้าเป็นวัด ผู้ที่ใช้ขันโตกขนาดนี้คือพระภิกษุ ในระดับรองสมภาร
ขันโตกฮาม

3. ขันโตกหน้อย เป็นขันโตกขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 1015 นิ้ว วิธีทำมีลักษณะเช่นเดียวกับขันโตกหลวงและขันโตกฮาม ใช้ในครอบครัวเล็ก เช่น หญิงชายพึ่งแต่งงานใหม่ หรือ ผู้ที่รับประทานคนเดียว อาหารที่ใส่ก็มีจำนวนน้อย
ขันโตกหน้อย

ประเภทของเครื่องเขิน (3)

ขันดอก
พานใส่ดอกไม้และเครื่องเซ่นไหว้ของชาวล้านนาเรียกว่าขันดอกมีลักษณะคล้าย จานที่มีฐานยกสูงขึ้นไป เข้าใจว่าคงได้รูปแบบหรืออิทธิพลมาจากจานเชิงของจีนซึ่ง เป็นเครื่องปั้นดินเผาแต่ว่าขันจะมีส่วนจานและฐานเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงายอย่างชัดเจน หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่าฐานปัทม์ส่วนใหญ่ขันดอกแบบโบราณจะทำมาจากไม้สักกลึง สองหรือสามตอนมาสวมต่อกันเป็นรูปพานทาด้วยยางรักและตกแต่งด้วยการเขียน ลวดลายสีดำสีแดงเป็นกลีบบัวสอดไส้ขนาดทั่ว ๆ ไปของขันดอกสูงประมาณ 12 นิ้ว และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ใช้สำหรับใส่ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนไปวัดหรือ ในพิธีกรรม บางทีก็ใช้ใส่เครืองเซ่นไหว้และของที่มอบให้เป็นทางการในพิธีสำคัญ
ขันดอก
ขันดอกไม้กลึง เป็นขันดอกประเภทหนึ่งที่ชาวล้านนาได้รับอิทธิพลและรูปแบบ จากขันดอกของชาวไทเขินเรียกว่า ขันซี่หรือ ขันตีนถี่ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เด่นมาก กล่าวคือช่วงที่เชื่อมระหว่างตัวพานไม้กลึงกับฐานไม้กลึงแทน ที่จะเป็นไม้กลึงทรงบัวลูกแก้ว ก็จะเป็นซี่ไม้กลึงขนาดเล็ก ๆ เรียงชิดกันเป็นแถวรอบฐานทรงกลมคล้ายขันโตกขันซี่ทั่วไป จะทาสีแดงชาดเท่านั้นไม่นิยมมีลวดลายประดับเหมือนขันดอก แบบพื้นเมือง ขันซี่บางชุดมีการกลึงลวดบัวที่มีสัดส่วนสวยงาม แปลกตา บางชุดก็มีความกล้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 18 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ใช้สำหรับเป็นขันตั้งหรือภาชนะในพิธีสำคัญทางศาสนา ซี่ไม้ที่เป็นขามีการเหลาเป็น ปล้อง ๆ สวยงามเมื่อเรียงเป็นแถวจะมีลักษณะคล้ายลูกกรงระเบียงบ้าน
ขันดอกไม้กลึง
ภาชนะเครื่องรักที่มีรูปทรงที่พัฒนามาจากกระบุงไม้ไผ่สานสำหรับใส่ของหลาย ประเภทในพิธีกรรมและการไปทำบุญเรียกว่าขันโอ รูปทรงของขันโอเหมือนกระบุง ขนาดเล็กป้อม ๆ เตี้ย ๆ ทาด้วยยางรักเรียบ ด้านนอกสีดำด้านในสีแดง มีหูเล็ก ๆ สี่หู สำหรับร้อยเชือกหาบปากขันโอมีถาดวางปิดไว้ก้นขันโอมีการเสริมปุ่มสี่ปุ่มด้วยการปั้น ยางรักให้หนารองรับการถูไถได้ดีบางทีก็ใช้หอยเบี้ยเสริมความแข็งแรงของปุ่มรองก้น ขันโอจะนิยมผลิตเป็นคู่เสมอ เรียกว่าเป็นหาบไม้คานหาบส่วนใหญ่จะเป็นไม้คานเรียว เล็กดัดปลายทั้งสองให้งอนขึ้น หรือแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม ขันโอที่เป็นใบเดี่ยว ไม่มีคู่จะมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ถึง 12 นิ้วประดับด้วยลวดลาย การเขียนสีหรือปิดทอง ไม่มีหูร้อยเชือก เพราะใช้อุ้มเหมือนขันเงินหรือสลุงเงิน น่าจะ เป็นอิทธิพลจาก ก๊อกโอหรือซ้าข้องของชาวไทเขินจากเชียงตุง



ประเภทของเครื่องเขิน (2)

ขันหมาก

            การกินหมากเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมของคนเอเชียโดยทั่วไป ภาชนะของประกอบ การกินหมากภาษาไทยกลางเรียกว่า เชี่ยนหมาก ชาวล้านนาเรียกว่า ขันหมาก ลักษณะ ของขันหมากพื้นเมืองของชาวล้านขนาดเฉลี่ยมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหรูหรากว่าภาชนะ ที่เกี่ยวข้องกับการกินหมากในภูมิภาคอื่นขันหมากล้านนามีโครงเป็นไม้ไผ่สานและขดเป็น ทรงกระบอกกลมหรือหักเหลี่ยมโค้งกว้างประมาณ15 นิ้ว สูง 1220 นิ้วเป็นกล่องขนาด ใหญ่สำหรับใส่ใบพลูชั้นล่างและมีถาดเป็นฝาปิดข้างบนเพื่อรองรับตลับหมากขนาดเล็ก ใช้ใส่เครื่องเคี้ยวอื่น ๆ รวมทั้งมีดผ่าหมากและเต้าปูน ขันหมากส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยการ เขียนลวดลายสีชาด และรักพิมพ์ บางครั้งมีการเติมด้วยทองคำเปลวเพิ่มความสวยงาม หรูหรามากขึ้น การติดเบี้ยที่ตีนขันหมากแสดงออกถึงความร่ำรวยและมีกินมีใช้ของเจ้า ของบ้านแล้วยังเป็นหน้าเป็นตาและความภูมิใจของเจ้าของเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนในอดีตเจ้าของเรือนจะนำเอาขันหมากใบสวยงามออกมา ต้อนรับแขกที่มาถึงบนเรือนเป็นการแสดงถึงไมตรีและการให้เกียรติอีกทั้งเป็นการแสดง ออกถึงรสนิยมที่ดีและความมั่งมีของเจ้าของเรือน แต่เดิมชุดตลับเล็ก ๆ บนถาดฝา ขันหมากเป็นไม้กลึงสวยงามบางครั้งก็เป็นตลับขดด้วยตอกไม้ไผ่ทารักเช่นเดียวกับตัว ขันหมากในสมัยหลัง ๆ นิยมใช้ตลับเงินตีดุนเป็นลวดลายแทนไม้กลึงทำให้ดูหรูหราภูมิฐาน มากขึ้น



            การผลิตขันหมากพื้นเมืองแต่ละพื้นที่จะมีผู้ชำนาญการ หรือผู้ผลิตในเชิงธุรกิจ นับตั้งแต่ การขึ้นโครงสาน การทารักทาชาดและเขียนลวดลายประดับประดา รูปแบบ ของงานจะปรากฎออกมาเป็นกลุ่มสกุลช่างประจำถิ่น พบอยู่กันเป็นละแวกกว้าง ๆ แต่รัศมีไม่ไกลจากแหล่งผลิตเท่าใดนักลูกค้าหรือผู้ซื้อจะมาสั่งทำเป็นราย ๆ มิได้มีการผลิตแล้วนำไปเร่ขายทั่ว ๆ ไป ดังนั้นความ หรูหราวิจิตร จะขึ้นอยู่กับผู้สั่งทำขันหมาก ประกอบกับขีดความสามารถและทักษะของช่างผู้ผลิตบางครั้งพบ ว่าช่างเครื่อเขินพื้นเมืองประเภทนี้เป็น ภิกษุ สามเณรที่ชำนาญทางด้านศิลปะและงานช่าง ทั่วไปและทำงานเครื่องเขินเป็นงานอดิเรก เช่น อดีตเจ้าอาวาสวัดต้นแหนน้อย เชื้อสาย ไทเขิน ที่บ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่



            อย่างไรก็ตามรูปแบบขันหมากพื้นเมืองนี้ค่อนข้างจะมีโครงสร้างและการตกแต่ง คล้าย ๆ กัน คือมีโครงสานด้วยตอกแบน ดามด้วยตอกเส้นหนา ขดเป็นวงกลมเสริม ให้แข็งแรงเป็นปล้อง ๆ ตีนขันหมากจะผายออกเล็กน้อย ถาดฝาบนตัวขันหมากมีขอบ สูงป้องกันตลับกลิ้งตกจากขันหมากช่วงตัวตอนกลางจะมีลวดลายประดับเป็นลวดลาย หลักใช้รักสีดำและชาดสีแดงตัดกันเป็นองค์ประกอบทางศิลปะลักษณะรูปทรงเช่นนี้ จะพบทั้วไปอย่างหนาแน่นในเขตเชียงใหม่ ลำพูน ลำปางแพร่ น่าน และประปรายใน พื้นที่ใกล้เคียง

         

ประเภทของเครื่องเขิน

การใช้เครื่องเขินเป็นศิลปะวัฒนธรรมอย่างหนึ่ของภาคพื้นเอเชียอาคเนย์โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ชาวล้านนาที่ใช้เครื่องเขินมาช้านานแล้ว และ มีรูปแบบรูปทรงที่หลากหลาย สนองตอบการใช้สอย    ค่านิยม และรสนิยมของสังคม รูปแบบที่แพร่หลายและมีลักษณะเด่นเฉพาะเครื่องเขินล้านนามีดังนี้
ปุง
            ตั้งแต่โบราณมาแทบทุกครัวเรือนของชาวล้านนาจะมีภาชนะประเภทนี้ไว้ใช้ในเรือน อย่างน้อย  2 ถึง 3   ใบปุงมีโครงเป็นเครื่องสานคล้ายกล่องข้าวเหนียวมีก้นสี่เหลี่ยม ส่วนใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ว สูงประมาณ 18 นิ้วคอคอดทรงกระบอกฝาปิด คล้าย ๆ ขวดโหลแก้ว ฐานของปุงทำด้วยไม้จริงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ2 – 3 นิ้ว คาดรัดติดกับปุงด้วยเส้นหวายถักยึดกับคอของภาชนะตัวของปุงมีลักษณะอ้วนป่องทา ด้วยยางรักหนาพอสมควรจึงมีลักษณะแข็งแรงรองรับการกระทบกระทั่งได้ดีการตกแต่ง ส่วนใหญ่เป็นการเขียนลวดลายด้วยชาดเป็นลายพันธุ์พฤกษาแบบพื้นเมืองไม่นิยมมีรูปสัตว์ ลวดลายตกแต่ง จะเน้นด้านข้างสี่ด้านของภาชนะเปิดเป็นลายช่องกระจก ไม่ปรากฎว่ามีการปิดทองคำเปลวหรืองานประดับกระจก ปกติจะมีรูสำหรับร้อยเชือกจากฐานไม่โยง ผ่านหูปลอกหวายที่คอของภาชนะสำหรับหิ้วหรือหาบดั้งเดิมมีหน้าที่ใช้สอยสำหรับเก็บ เมล็ดพันธุ์พืชและของใช้ส่วนตัวมิได้ใช้รับแขกหรือเป็นหน้าตาของเจ้าของบ้าน ไม่ปรากฏว่ามีปุงที่ตกแต่งด้วยเทคนิคการฮายดอก ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านทำขึ้นใช้เอง หรือไหว้วานเพื่อนบ้านคนคุ้นเคยทำให้ มิได้ทำสำหรับการซื้อขาย ดังนั้นขีดความสามารถ ทักษะอารมณ์ และความเฉพาะตัวทางศิลปะจึงดูเหมือนว่ามีความชัดเจนมากลวดลายประดับปุง อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างงานศิลปะพื้นบ้านแท้ ๆ ของล้านนาปราศจากกรอบและแบบแผนของสกุลช่างที่เป็นกฎเกณฑ์บังคับ

 
ปุง

เครื่องเขินลำพูน

รูปแบบของเครื่องเขินลำพูน  โดยรูปแบบแล้วมีความหลากหลายของตัวรูปพรรณ ทั้งงานไม้กลึงอันได้แก่ ขันแอว และขันซี่  แล้วยังมีงานเครื่องสานอันประกอบด้วย ปุง หีบผ้า แอ็บ โอและขันหมาก  ปกติแล้วจะเป็นงานลงรักและทาชาดสีดำแดงเรียบๆ แต่หากเป็นงานเขียนลวดลายนิยมเขียนด้วยสีดำแดงของรักและชาดด้วยเทคนิคการแตะแล้วลากเส้นประกอบเป็นลวดลายพรรณพฤกษาขนาดเล็กๆ ป้อมๆ แตกต่างไปจากกลุ่มเครื่องเขินเชียงใหม่ โดยเฉพาะนิยมแต้มลายคล้ายตัวบ่างหรือลายกนกด้วยชาดที่สีออกส้มหรือสีเหลืองของรงค์ฝีมือไม่ค่อยประณีตมากนักและนิยมแต้มทองคำเปลวเปรอะไปทั่ว อีกทั้งรูปทรงโดยเฉพาะขันหมากมักมีรูปทรงกลมกว้างและเตี้ยกว่าขันหมากเชียงใหม่






เครื่องเขินเชียงใหม่

รูปแบบของเครื่องเขินเชียงใหม่  โดยรูปแบบแล้วมีความหลากหลายของตัวรูปพรรณ ทั้งงานไม้กลึงอันได้แก่ ขันแอว และขันซี่  แล้วยังมีงานเครื่องสานอันประกอบด้วย ปุง หีบผ้า แอ็บ โอและขันหมาก  ปกติแล้วจะเป็นงานลงรักและทาชาดสีดำแดงเรียบๆ แต่หากเป็นงานเขียนลวดลายนิยมเขียนด้วยสีดำแดงของรักและชาดด้วยเทคนิคการแตะแล้วลากเส้นประกอบเป็นลวดลายพรรณพฤกษาที่ยอดปลายแหลม  ในบางครั้งอาจมีการสอดแทรกสีสันอื่นเพื่อทดแทนสิ่งที่มีราคาสูงดังเช่น ทองคำเปลวเป็น Highlight ให้เกิดความงดงามที่ทดแทนกันได้บ้างจากการใช่สีเหลืองของรงค์ หรือชาดสีออกส้มโดยเฉพาะขันหมากลมทรงสูงแบบนิยมในสันป่าตอง  แต่สำหรับบางพื้นที่อื่นอาจมีการสร้างงานด้วยรูปทรงเหลี่ยมตั้งแต่แปดถึงสิบหกเหลี่ยมและทรงกลม  แต่ทรงเตี้ยและกว้างกว่ากลุ่มสันป่าตอง  ซึ่งเป็นรูปทรงที่นิยมอย่างมากในหมู่คหบดีและเจ้านายในเวียงเชียงใหม่ โดยการตกแต่งเป็นลวดลายจะเพิ่มความวิจิตรงดงามด้วยการปิดทองคำเปลวประดับกระจกที่เรียกว่า “แก้วจืน” และมี “เบี้ย” ประดับที่มุมขอบล่างของตีนขันหมากด้วย  สำหรับกลุ่มวัวลาย นันทาราม นิยมทำงานรูปพรรณด้วยเทคนิคจักสานทารักอันได้แก่ ขันแอว แอ็บหมาก กระโถน น้ำต้น จอก ถาด ปิ่นโต ขันน้ำพานรอง และหีบบุหรี่   โดยมีความโดดเด่นที่เทคนิคการตกแต่งด้วยการ “ฮายลาย” ด้วยเหล็กปลายแหลมแล้วถมชาดสีแดงลงในร่องเกิดเป็นลวดลายพรรณพฤกษาที่เล็กละเอียด






ประวัติความเป็นมาเครื่องเขินของล้านนา

เครื่องเขินมิใช่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ชนิดที่เพิ่งเข้ามาสู่ดินแดนล้านนาในยุคฟื้นฟู เมืองเชียงใหม่แต่เครื่องเขินนั้นถือเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่มีใช้อยู่อย่างแพร่หลายในล้านนา มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว (เมื่อราวปี พ.ศ. 2100 ) ดังปรากฏหลักฐานในพงศาวดารพม่าว่า เมื่อพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ได้กวาดต้อนเอาชาวเมืองเชียงใหม่และช่างผีมือไปไว้ ในเมืองพม่าหลายครั้ง ปัจจุบันชาวล้านนาเหล่านั้นยังคงมีการทำเครื่องเขินชนิดขูดขีดเป็น ลายเส้น แล้วถมลายเส้นด้วยสีต่าง ๆ อยู่ที่เมืองพุกามซึ่งพม่าเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า “โยนเถ่” ซึ่งแปลว่า เครื่องยวน หรือ เครื่องประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวไทยยวนหรือล้านนาเครื่อง เขินของพม่ามีลวดลายประดับแบบหนึ่งซึ่งว่า “ซินเม่” ซึ่งคำว่าซินเม่นี้ หมายถึง เชียงใหม่ น่าจะเป็นลวดลายดั้งเดิมจากเชียงใหมตั้งแต่ปลายสมัยราชวงค์มังราย ปี พ.ศ. 2100
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในเรื่องเที่ยวพม่า พ.ศ.2478 ว่าได้รับความรู้แปลกทางโบราณคดี เรื่องการทำของลงรักในเมืองพม่าไว้อย่างหนึ่ง จะกล่าวไว้ตรงนี้ด้วย “ฉันได้เห็นในหนังสือพงศาวดารพม่าฉบับหนึ่งว่าวิชาทำนอง ลงรักนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้ไปจากเมืองไทย (คือว่าได้ช่างรักไทยไปเมื่อ ตีกรุงศรีอยุธยา ได้ใน พ.ศ. 2112 ถ้าจริงดังว่าก็พึงสันนิษฐานว่าครั้งนั้นได้ไปแต่ วิธีทำรัก “น้ำเกลี้ยง” กับทำ “ลายรดน้ำ” จึงมีของพม่าทำเช่นนั้นแต่โบราณแต่วิธี ที่ขูดพื้นรักลงไปเป็นรูปภาพ และลวดลายต่าง ๆ นั้นพวกช่างชาวเมืองพุกามเขา บอกฉันว่าพึ่งได้วิธีไปจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อครั้งหลัง”
มีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงการใช้ยางรักสำหรับเคลือบผิวภาชนะต่าง ๆ ก่อนยุคราชวงค์ มังรายคือในสมัยหริภูญชัย เช่นที่อาจารย์ จอห์นชอร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาไทยได้ค้นพบว่า เครื่องปั้นดินเผาบางชิ้นในวัฒนธรรมหริภูญชัยมีการ เคลือบยางรัก ส่วนเครื่องจักสานและไม้ที่เคลือบด้วย ยางรักในยุคนั้น คงเปื่อยผุและสลายไปกับกาลเวลา เพราะเป็นสารอินทรีย์ ถ้าไม่เก็บรักษาอย่างดีทำให้ ยางรักแปรสภาพภายในไม่กี่สิบปีส่วนที่ติดอยู่ดินเผาในหลุมศพนั้นบังเอิญมีการห่อหุ้ม อย่างดี ทำให้ยางรักบางส่วนตกค้างเป็นหลักฐานให้เห็นถึงปัจจุบัน ที่พิพิธภัณฑ์ Tokugawa นครนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น มีการจัดแสดงของใช้ส่วนตัว ของโชกุนหลาย ๆ อย่าง มีของใช้ชิ้นหนึ่งเป็นตลับเครื่องเขินทรงกลมที่เป็นแอ๊ปหมาก (ตลับหมาก) ของเชียงใหม่ สีดำแดงตามแบบฉบับของเชียงใหม่ทุกประการ แต่คำอธิบาย บอกว่าเป็นของขวัญจากอยุธยาได้มาเมื่อปีพ.ศ.2200 เข้าใจว่าเครื่องเขินคงแพร่หลาย จากเชียงใหม่ลงมาถึงอยุธยาและเป็นของส่งออกตามเส้นทางค้าขายชายทะเลด้วย



เครื่องเขิน

            เครื่องเขินเป็นงานศิลปกรรมอีกอย่างหนึ่งของล้านนาและเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวล้านนาในอดีตเป็นอย่างมากจนอาจจะกล่าว ได้ว่าเครื่องเขินนั้นเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและแสดงถึง คุณลักษณะของชาวล้านนาได้เป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงเครื่องเขินแล้ว โดยทั่วไปจะ หมายถึง ภาชนะเครื่องใช้ที่สานด้วยไม้ไผ่แล้วเคลือบด้วยรักเขียนลวดลายประดับ ตกแต่งด้วยชาดทองคำเปลวหรือเงินเปลวที่ผลิตขึ้น โดยชาวเชียงใหม่ ที่มีเชื้อสายสืบมาจากไทเขินแต่โบราณ
             คำว่า "เครื่องเขิน" ตามพจนานุกรมไทยได้กล่าวไว้ว่า  "เครื่องสานที่ทาด้วยรักพาะอย่างหนึ่งและชาด" แต่โดยทั่วไปแล้วเครื่องเขินหมายถึง "เครื่องใช้สอยที่ทำขึ้นโดยวิธีการเฉพาะอย่างหนึ่งประกอบด้วยไม้หรือไม้ไผ่  ทำเป็นรูปเครื่องใช้สอยต่างๆ ตามต้องการแล้วกรรมวิธีแต่งสำเร็จให้สมบูรณ์และสวยงาม  โดยใช้ ยางรัก สี ชาด มุก ทองคำเปลว เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำ"
            เครื่องเขินในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lacquer ware ซึ่งที่มาของคำว่า Lacquer เริ่มใช้มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 17 ในประเทศฝรั่งเศสใช้คำว่า Lacquer ซึ่งหมายถึงกาวยางหรือครั่งที่ใช้สำหรับติดประท้บเอกสารเพื่อไม่ให้แยกหรือเปิดออกมาได้  ส่วนในประเทศสเปนและโปรตุเกสใช้คำว่า Lacre มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 16 ประเทศอิตาลีใช้คำว่า Lacra และมีการเปลี่ยนมาเป็น Lacquar ในที่สุด



ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขิน
            ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขินกล่าวกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากจีน โดยกรรมวิธี การทำเครื่องเขินได้เริ่มในสมัยฉางโจวเมื่อประมาณสี่พันปีมาแล้วโดยพบหลักฐานชิ้นส่วนและตัวภาชนะเครื่องเขินในหลุมศพของบุคคลสำคัญหลายแห่งต่อมาวัฒนธรรม เครื่องเขินคงได้มีการแพร่หลายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่นจีนตอนใต้ เวียดนาม และเอเชียอาคเนย์แต่ก็มีแนวคิดแยกออกไปที่เชื่อว่าวัฒนธรรมเครื่องเขินน่าจะเกิดขึ้นก่อนในเขต มณฑลยูนานและรัฐฉานเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการผลิตเครื่องเขิน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ มีการผลิต และใช้เครื่องเขินอย่างเข้มข้น ต่อมาค่อยแพรหลายเข้า ไปสู่จีนภายหลัง คนจีนรู้จักพัฒนาความรู้และการผลิตตลอดจนเก็บรักษาที่เก่งและดีกว่า ทำให้มีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องเขินค่อนข้างดีและสมบูรณ์ตราบเท่าปัจจุบันนี้

เครื่องเขินของล้านนา
            จากการสำรวจและศึกษาเครื่องเขินล้านนาที่ได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ในส่วนของ เอกชนในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้นอาจจะแบ่งกลุ่มเครื่องเขินที่พบในเขตจังหวัดเชียงใหม่ไปตามลักษณะรูปทรงและเทคนิคการประดับตกแต่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
          1. เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน จะมีลักษณะเป็นงานเครื่องสานที่ทาด้วยยางรักเพียงไม่กี่ครั้ง และตกแต่งประดับประดาอย่างง่าย ๆ สำหรับเป็นของใช้ใน ชีวิตประจำวัน เครื่องเขินชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่อง ใช้ที่เป็นเครื่องสานและลงรักสีดำหากจะมีการตกแต่งให้สวยงามอย่างมากก็ทาสีแดงชาดอย่างเรียบ ๆ เครื่องเขินชนิดนี้ เองที่ควรจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ชาวล้านนาแต่ดั้งเดิม สามารถผลิตขึ้นใช้เองภายในครัวเรือนได้

เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน
          2. เครื่องเขินเชียงใหม่หรือเครื่องเขินนันทาราม เครื่องเขินชนิดนี้มีโครงสร้างเป็นโครงสานลายขัดด้วยเส้นตอกไม้ไผ่ที่มีการเหลาให้ได้ ขนาดเล็กเรียบบางคล้ายทางมะพร้าวสานขัดกับตอกเส้นบางแบนเป็นรูปแฉกรัศมีจาก ก้นของภาชนะจนได้รูปทรงตามความต้องการ โดยไม่ต้องมีการดามโครงให้แข็งเป็นที่ ที่เครื่องเขินชนิดนี้จะมีโครงที่แน่นแข็งแรงเรียบเสมอกันโดยตลอด เมื่อทารักสมุกแล้ว ขัดก็จะได้รูปภาชนะที่ค่อนข้างเรียบเกลี้ยงบาง และมีความเบาการตกแต่งของเครื่องเขิน ชนิดนี้มีลักษณะเด่นที่นิยมการขูดลาย หรือภาษาพื้นถิ่นว่า ฮายดอก
            เทคนิคการตกแต่งผิวภาชนะด้วยวิธีการขูดลายนี้ ภาชนะที่จะทำลวดลายได้จะต้อง มีผิวบางรักที่แห้งสนิทและเรียบ การฮายดอกต้องใช้เหล็กปลายแหลมคล้ายเหล็กจาร ใบลานกรีดลงไปบนผิวยางรักของภาชนะการฮายดอกต้อง อาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ให้เกิดเส้นลึกมาก จนยางรักกระเทาะออก หรือแผ่วเบาเกินไปจนทำให้ลวดลาย มองเห็นได้ยากเมื่อฮายดอกเสร็จแล้วจึงนำยางรักที่ผสมกับ ชาดสีแดงถมลงไปในร่องที่กรีดไว้รอให้แห้งอีกหลายวันแล้ว จึงขัดส่วนนอกสุดออกจนมองเห็นเส้นลวดลายสีแดงฝังอยู่ในพื้นที่สีดำของยางรัก จากนั้นจะเคลือบด้วยยางรักใสหรือรักเงา เพื่อเป็นการปิดเคลือบลวดลายทั้งหมดให้ ติดแน่นกับภาชนะเทคนิคการฮายดอกของเครื่องเขินชนิดนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของ เครื่องเขินเชียงใหม่มาแต่เดิมซึ่งต่อมาพม่าได้กวาดต้อนเอาช่างเครื่องเขินที่ทำด้วย เทคนิคชนิดนี้ว่า โยนเถ่สำหรับเครื่องเขินที่ผลิตขึ้นจากแหล่งบ้านนันทารามใน ปัจจุบันนั้น มีเทคนิคการเขียนลวดลายที่ผิวภาชนะเป็นอย่างเดียวกันแต่เป็นผลิตผล ที่เกิดขึ้นจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาเป็นพลเมืองเชียงใหม่กลุ่มใหม่ ดังนั้นจึง อาจจะเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า เครื่องเขินเชียงใหม่รุ่นหลังก็ได้
            ปัจจุบันการผลิตเครื่องเขินแบบนันทารามดูเหมือนว่าจะสิ้นสุดลง เหลือเพียงแต่การผลิตเพื่อการตลาดการท่องเที่ยว เป็นของที่ระลึกราคาถูก ที่ไร้คุณภาพและรสนิยม การฮายดอกทำกันอย่างลวกๆ ใช้สีฝุ่นสีน้ำมัน และสีสะท้อนแสงแทนชาดไม่มีการเคลือบ ลวดลายให้ติดแน่นกับผิวภาชนะดังนั้นสีสันจึงมักจะหลุดหายไปอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเครื่องเขินใหม่จากเมืองพุกามเท่านั้นที่ยังคงเป็นงานเครื่องเขินแท้ ๆ ถ้าเปรียบเทียบ กับเครื่องเขินที่ผลิตในเมืองไทย
เครื่องเขินนันทาราม
เครื่องเขินนันทาราม

            3. เครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมือง เครื่องเขินแบบนี้ส่วนใหญ่ มีโครงสานเป็น ลายขัดหรือขดให้เกิดรูปทรงแบบต่าง ๆ ตามต้องการ มีการดามและรัดขอบเป็นชั้นๆ ให้เกิดความแข็งแรงและสวยงามด้วยตอกหรือหวายการตกแต่งประดับ ประดาเกิดจากลวดลายของการสานเส้นตอกไม้ไผ่ในบางส่วน และอีกหลายส่วนเป็น การถมพื้นให้เรียบเขียนลวดลายด้วยชาดสีแดง บางทีมีการแตะ ทองคำเปลวเน้นส่วนสำคัญของลวดลายให้ เด่นขึ้นลักษณะของ การเขียนลวดลาย คือการใช้พู่กันจุ่มยางรัก หรือรักผสมชาด แล้วหยดลงบนพื้นของภาชนะเป็นจุดต่อด้วยการลากให้เป็น หางยาวออกไปทำให้เกิดลวดลายคล้ายตัวลูกอ๊อดและเมื่อมีลวด ลายเช่นนี้ติดต่อกันเป็นชุดก็จะได้รูปของกลีบดอกไม้หรือลายเครือเถาต่าง ๆ มากมาย อย่างไม่สิ้นสุด
          
เครื่องเขินแบบสันป่าตอง
เครื่องเขินแบบสันป่าตอง
             ประเภทของเครื่องเขินแบบพื้นเมืองที่แพร่หลายในอดีต คือ ขันหมากขนาดใหญ่ ทรงกระบอก ปุงใส่เมล็ดพืชและของจุกจิกทั่วไป กระบุงเล็กหรือขัน โถสำหรับใส่ของ ถวายพระและเครื่องประกอบพิธีกรรมและหีบใส่ผ้าขนาดปานกลางสำหรับพิธีแต่งงาน แต่เดิมเครื่องเขินประเภทนี้ชาวพื้นเมืองจะผลิตขึ้นใช้เองในพื้นที่ของตนไม่ได้มีการ ซื้อขายอย่างจริงจัง ดังนั้นระดับงานผีมือในเขตล้านนาจึงเป็นงานศิลปะพื้นบ้านที่เข้มข้น มิได้มีแบบแผนที่ชัดเจน ลวดลายที่เขียนก็มีลักษณะเป็นการวาดแบบสด ๆ มีการแสดงออกและแนวทางการสร้างสรรค์สูงมาก แหล่งผลิตของเครื่องเขินชนิดนี้ จะพบอยู่ในกลุ่มหมู่บ้านชาวไทยเขินที่ บ้านต้นแหน บ้านท้องฝ่าย บ้านทุ่งเสี้ยว บ้านป่าสัก บ้านเก็ด และบ้านน้ำรัก เขตอำเภอสันป่าตองเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงนิยมเรียกเครื่องเขินชนิดนี้กันโดยทั้วไปว่า เครื่องเขินสันป่าตอง นอกจากนี้ยังมีพบในบางหมู่บ้านในเขตจังหวัดลำพูนตลอดจนพื้นที่ของ อำเภอแม่ริม และอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ด้วยอย่างไรก็ตามเครื่องเขินแบบนี้ได้เลิกผลิตไปเป็นเวลานานแล้ว (ไม่ต่ำกว่าหกสิบปี) ดังนั้นเครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมืองที่เหลืออยู่ดังกล่าวนี้จึงอาจนับเป็นมรดกประวัติศาสตร์รุ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่และมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งสมควรแก่การที่จะต้องรักษาไว้ให้คงอยู่ในล้านนาเพื่อเป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาสืบไป