วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โครงการศึกษาและพัฒนาไม้รักใหญ่




เครื่องเขินทรงคุณค่า ภูมิปัญญาไทย




      เครื่องเขินทรงคุณค่าภูมิปัญญาไทย
โดย  สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้


แม่ครูดวงกมล ใจคำปัน สาธิตการทำเครื่องเขิน




สาธิตการทำเครื่องเขิน เพื่อใช้สอยในบ้าน

กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน





       กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน 1/2 : 31 เมษายน 2556




 กบนอกกะลา ตอน เครื่องเขิน 2/2 : 31 เมษายน 2556


บทสรุป : สถานะของเครื่องเขินในสังคมปัจจุบัน

เมื่อเครื่องใช้ในกลุ่มพลาสติก อลูมิเนียมและสแตนเลสเข้ามาแทนที่ เครื่องเขินซึ่งแม้ว่าจะยังคงมีการผลิตอยู่แต่ก็เหลือน้อยมากและพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งประโยชน์ใช้สอย วัสดุที่ใช้และวิธีการผลิต จากการสำรวจและทำวิจัยในปัจจุบันพบว่าเครื่องเขินอยู่ในฐานะเป็นของสะสมและของที่ระลึกมากกว่าใช้จริงอย่างที่เคยเป็นมา
เครื่องเขินในฐานะของสะสม หมายถึงการเก็บรักษาเพื่อการอนุรักษ์และการศึกษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษโดยผ่านเครื่องเขิน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สะสมเครื่องเขินโบราณที่ปัจจุบันไม่มีการใช้แล้วกับของใหม่ที่เลียนแบบของเดิมและของที่มีการพัฒนารูปแบบ วัสดุและวิธีการผลิตแบบใหม่

เครื่องเขินในฐานะของที่ระลึก การสะสมเป็นของที่ระลึกส่วนใหญ่เป็นของที่ทำขึ้นใหม่ในปัจจุบันทั้งเลียนแบบของโบราณและรูปทรงใหม่ ความนิยมในการใช้เครื่องเขินในฐานะเป็นของที่ระลึกและของฝากมีมานานแล้ว อย่างน้อยในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25 เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปพุกามและได้รับคำบอกเล่าเรื่องที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกช่างทำของลงรักสำหรับขายให้ฝรั่งที่เมืองย่างกุ้ง “...เดี๋ยวนี้รัฐบาลตั้งโรงเรียนช่างรักขึ้นแห่ง ๑ อยู่ไม่ห่างที่พักนัก ที่โรงเรียนนั้นทำแต่ของฝีมือดี และมักทำของแปลกๆ ส่งไปขายฝรั่งที่เมืองร่างกุ้ง...” ข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับคำบอกเล่าของนางจันติ๊บ ช่างทำเครื่องเขินที่เชียงตุงที่กล่าวว่า ตอนที่เจ้าฟ้าเชียงตุงยังมีอำนาจอยู่นั้นได้เข้ามาเป็นผู้อุปถัมภ์การทำเครื่องเขินและหาตลาดให้ ตลาดที่สำคัญคือร่างกุ้ง นางจันติ๊บเล่าให้ฟังว่าเจ้าฟ้าเคยนำเครื่องเขินไปขายให้กับฝรั่งที่ร่างกุ้งด้วยตนเอง
จากการกลายเป็นของที่ระลึกนี้เองทำให้ช่างปัจจุบันหันมาผลิตเครื่องเขินในรูปทรงใหม่มากขึ้น เช่น กล่องใส่ทิชชู กล่องสบู่ กรอบรูป โคมไฟ และแก้วกาแฟ เป็นต้น

เครื่องเขินในฐานะของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องเขินที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ
  • การใช้ในลักษณะนี้ทำให้เครื่องเขินบางชิ้นต้องเปลี่ยนรูปแบบใช้สอย เช่น นำแอ็บขนาดเล็กไปใส่คลิปหนีบกระดาษ ใช้ขันแดงวางของใช้ เช่น แจกัน กรอบรูป และโทรศัพท์ ใช้โตกเป็นพานใส่ผลไม้ เป็นต้น
  • เช่นในกลุ่มปกาเกอะญอยังใช้ภาชนะที่เป็นคัวฮักคัวหางทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม จากการใช้จริงทำให้มีการผลิตเพื่อขายให้ชาวปกาเกอะญอด้วยกัน นายมานะกล่าวว่า “...ตอนนี้ยังทำขายอยู่ ตะกร้าใบเล็ก 40 บาท ใบใหญ่ 50 บาท ส่วนแอ็บราคา 150 บาท ทั้งใบเล็กและใบใหญ่ กลุ่มที่เข้ามาซื้อจะเป็นกลุ่มปกาเกอะญอในแถบแม่สะเรียง...” แต่ตอนนี้ก็ผลิตน้อยลงเพราะคนใช้มีจำกัดและส่วนใหญ่ใช้ในงานประเพณีเท่านั้น ส่วนเครื่องใช้ในครัวเรือนก็หันมาใช้เครื่องใช้พลาสติกซึ่งถูกและหาง่ายกว่า



“เครื่องเขิน” ในสังคมล้านนาปัจจุบัน

ในสมัยปัจจุบันเมื่อ พลาสติก อลูมิเนียม และสแตนเลส เข้ามามีบทบาทในการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้คัวฮัก คัวหาง หรือเครื่องเขินลดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบหมดไปจากสังคมล้านนา ที่ยังคงอยู่ก็กลายสถานะเป็นของสะสม ของที่ระลึกและของประดับตกแต่งบ้านเรือน และเมื่อเทียบราคาของ “คัวฮัก คัวหาง” กับคัวพลาสติกแล้วคัวฮักคัวหางจะมีราคาสูงมาก นอกจากนั้นพลาสติกยังสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า ด้วยเหตุนี้คนในยุคปัจจุบันเป็นจำนวนมากไม่รู้จักและไม่เคยเห็น หรือเคยเห็นก็ไม่ทราบว่าของใช้เหล่านี้คืออะไร ปัจจัยที่ทำให้เครื่องเขินหายไปจากสังคมประกอบด้วย




  1. ใช้วัสดุใหม่เข้ามาแทนที่ในการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือน วัสดุใหม่หมายถึง พลาสติก อลูมิเนียม และสแตนเลส โดยเฉพาะสินค้าที่ทำจากพลาสติกสามารถผลิตได้ครั้งละมากๆ และสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ของใช้ขนาดเล็ก เช่น จาน ชาม ถ้วย แก้วน้ำ ช้อน และตะกร้า ไปจนถึงของที่มีขนาดใหญ่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และตู้เสื้อผ้า ในขณะที่วัสดุที่ใช้ในการผลิตเครื่องเขินนับวันจะหายากมากขึ้น โดยเฉพาะยางรักซึ่งหายากและมีราคาแพงมากคือกิโลกรัมละประมาณ 500 บาท  และจากการที่ยางรักมีราคาแพงและหายากทำให้ผู้ขายมักจะปะปนขยะ เช่น ใบไม้และกิ่งไม้ลงไปในยางรักด้วย สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้มาก นอกจากนั้นการผลิตเครื่องเขินยังใช้เวลามากกว่าจะได้ชิ้นงานแต่ละชิ้น เมื่อเทียบกับการผลิตพลาสติก ฉะนั้นเราจึงเห็นเครื่องมือเครื่องใช้พลาสติกเข้ามาวางขายในตลาดแทนที่ของใช้ประเภทเครื่องเขิน ซึ่งหายไปจากตลาดนานมาแล้ว
  2. การขาดแคลนช่างผู้ผลิต เมื่อความต้องการใช้เครื่องเขินในฐานะเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านหมดไป ประกอบกับการผลิตผลงานแต่ละชิ้นค่อนข้างช้า การขายยากเพราะคนไม่นิยมและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้ช่างมีรายได้น้อย ช่างผู้ผลิตจึงหันไปทำงานอื่นแทนมากขึ้น รวมทั้งลูกหลานส่วนใหญ่ไม่สืบทอดภูมิปัญญาการผลิตอีกต่อไป

จากปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ทำให้การผลิตคัวฮักคัวหาง อันเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของสังคมล้านนาได้สูญหายไป บางจังหวัดเช่น แพร่ น่าน และลำปางไม่มีการผลิตอีก เช่นในจังหวัดน่าน เคยมีหมู่บ้านผลิต “คัวฮักคัวหาง” ที่บ้านดอนแก้ว (บ้านพ้อย) ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา ความรู้ในการทำเครื่องเขินโดยเฉพาะ ขันหมากในหมู่บ้านสืบทอดมาจากเชียงใหม่ เนื่องจากพ่อมูลคนในหมู่บ้านกับครูบาอภิวงศ์เดินทางไปเรียนจากเชียงใหม่ แล้วนำไปถ่ายทอดให้กับคนในหมู่บ้าน จนเป็นที่รู้จักกันในชุมชนเมืองน่านถึงรูปแบบการผลิตขันหมากเครื่องเขินจากแหล่งผลิตดังกล่าวว่า “ขันหมากบ้านพ้อย” รูปแบบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผลิตในหมู่บ้านนี้ประกอบด้วย ซ้าหลอด ซ้าหวด ซองพลู และซองยาเส้น เป็นต้น ของเหล่านี้มีทั้งคนมารับซื้อไปขายและช่างผู้ผลิตนำไปขายเองถึงเชียงแสนและเชียงราย การผลิตคัวฮักคัวหางในสมัยนั้นสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่การผลิตของหมู่บ้านนี้ได้เลิกไปกว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากคนไม่นิยมใช้ ทางองค์การบริหารส่วนตำบลพยายามเข้ามารื้อฟื้นและฟื้นฟูการผลิตใหม่แต่ก็ไม่ประสบผลต้องเลิกไปในที่สุดเพราะไม่มีตลาดรองรับ ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั่วไปในล้านนา เมืองเชียงใหม่ซึ่งเคยมีการผลิตคัวฮักคัวหางในหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านต้นแหน อำเภอสันป่าตองและบ้านนันทาราม อำเภอเมือง แต่ปัจจุบันเหลือแหล่งผลิตใหญ่ๆ เพียง 2 แห่งคือ ที่บ้านนันทาราม ถนนนันทาราม และบ้านศรีปันครัว แต่การผลิตในหมู่บ้านทั้งสองแห่งนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปทั้งรูปแบบ วัสดุ และเทคโนโลยีในการผลิต




เครื่องเขิน : วัฒนธรรมร่วมของกลุ่มคนในเอเชีย

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า วัฒนธรรมการใช้และการผลิตเครื่องเขิน เป็นวัฒนธรรมร่วมของกลุ่มคนในเอเชียทั้ง พม่า ลาว และเวียตนาม รวมทั้งจีนและญี่ปุ่นด้วย ดังมีตัวอย่างดังนี้
เครื่องเขินในพม่า    มีแหล่งผลิตอยู่ที่หมู่บ้านในเมืองพุกาม “...เครื่องลงรักนั้นทำกันตามบ้านแห่งละเล็กละน้อย โดยปกติจะมีคนอื่นมารับซื้อจากผู้ทำรวบรวมเอาไปเที่ยวขาย...” นอกจากนั้นทางพม่ายังตั้งโรงเรียนช่างรักเพื่อสร้างคนที่มีความรู้ในการทำเครื่องเขินจนสามารถใช้ประกอบอาชีพต่อไปในอนาคตได้“...โรงเรียนช่างรักที่รัฐบาลตั้ง ณ เมืองพุกาม วิธีที่เขาจัดการถูกใจฉันมาก ด้วยเขาถือหลักว่า จะหัดนักเรียนให้ไปทำของลงรักขายเป็นอาชีพโดยลำพังตนในวันหน้า...”
เครื่องเขินในญี่ปุ่น    ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการผลิตเครื่องเขินใช้ในชีวิตประจำวัน   ยางรักที่ใช้ในการผลิตส่วนหนึ่งนำเข้าจากกรุงศรีอยุธยา หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการนำเข้ายางรักจากกรุงศรีอยุธยาไปญี่ปุ่นคือ รายชื่อและปริมาณสินค้าในบัญชีของสำเภาจีนที่ส่งไปยังเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ.2254 ในบัญชีดังกล่าวปรากฏรายการสินค้าจากอยุธยาดังต่อไปนี้ “...ไม้ฝาง 880,900 ชั่ง น้ำตาลกรวด 7,700 ชั่ง รัก 30,000 ชั่ง...”  ญี่ปุ่นเรียกยางรักว่า “สี” “...สี (รัก) โดยเฉพาะที่ตีตราไว้ว่า “รักสีดำ” จะนำเข้ามาเป็นขวดหรือโอ่ง เช่น สั่งเข้ามาหนัก 12,000 ชั่ง บรรจุไว้ในขวดหรือโอ่ง 36 ขวดหรือโอ่ง เป็นต้น...”
ญี่ปุ่นมีเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดที่นิยมทาด้วยยางรัก เช่น กระปุกเครื่องหอมซึ่งเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในพิธีชงชา กระปุกเครื่องหอมที่ใช้ในพิธีนี้มี 2 ชนิดคือ กระปุกเครื่องเขิน และกระปุกเครื่องเคลือบ กระปุกทั้ง 2 ชนิดนี้จะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน กล่าวคือกระปุกเครื่องเขินใช้สำหรับใส่เครื่องหอมบูชาพระและใช้ดม ส่วนกระปุกเครื่องเคลือบนิยมใช้เป็นภาชนะบรรจุเครื่องหอมในพิธีชงชา นอกจากกระปุกเครื่องหอมแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังนิยมนำยางรักไปใช้ในงานหัตถกรรมอื่นๆ อีกด้วย เช่น กล่องลงรัก และหมอนสูงลงรัก เครื่องใช้เหล่านี้ คงจะเป็นของที่นิยมใช้กันทั่วไปในสังคมของชาวญี่ปุ่น รวมทั้งส่งเป็นสินค้าออกซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะส่งมาขายให้กับชาวญี่ปุ่นที่ออกมาตั้งถิ่นฐานนอกประเทศ ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานการส่งออกเครื่องใช้กลุ่มนี้ในรายการสินค้าของสำเภาสยามที่เดินทางกลับจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2225 “...ทองแดง 157,300 ชั่ง เหล็ก 2,500 ชั่ง กล่องลงรัก 8 ใบ หมอนไม้สูงลงรัก 10 ใบ กล่องลงรักขนาดเล็ก 6 ใบ หัตถกรรมลงรัก 10 ใบ ลูกเกาลัด 40 ถุง และเต้าเจี้ยวมิโซะ 15 โอ่ง/ไห เป็นต้น...”  
เครื่องเขินในจีน  จีนเรียกการลงรักว่า “ชี่”  ชาวจีนนำยางรักมาใช้กับภาชนะเครื่องเรือนและศิลปวัตถุ รวมทั้งใช้รักษาบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้บนไม้ไผ่ พวกเขากล่าวว่าได้รู้จักการลงรักมานานแล้วและเป็นผู้เผยแพร่ความรู้นี้ให้กับเมืองต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “...ชาวจีนรู้จักคุณสมบัติในการป้องกันเนื้อไม้ของยางที่ได้จากกิ่งของต้นรักมาอย่างน้อย 3,000 ปีมาแล้ว และแพร่หลายไปทั่วเอเชียอาคเนย์ ... ชิ้นงานตัวอย่างเก่าแก่ที่สุดของจีนเท่าที่รู้อยู่ในสมัยราชวงศ์ซาง (ค.ศ. 1523-1028 ปีก่อนคริสต์ศักราช)...”  สำหรับยางรักนั้นมีหลักฐานว่าเป็นของภายในประเทศจีนเอง “...ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ และมีการปลูกด้วย...”  และสันนิษฐานว่าจีนคงมีการนำเข้ายางรักจากสยามด้วย
ดังจะเห็นจากหลักฐาน เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ที่กล่าวว่า “...ต้นรักให้น้ำยางชั้นดีใช้เป็นยาเคลือบที่มีราคาสูงในการทำเครื่องเขินที่ประเทศจีน...”  มีหลักฐานการพบชิ้นส่วนของ “เครื่องเขิน” ที่นำเข้าจากจีนในแหล่งเรือจมที่อ่าวไทย 2 แหล่ง คือ
  1. แหล่งเรือจมรางเกวียน  แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ประกอบด้วยเรือจม 1 ลำ จมอยู่ในแนวร่องน้ำคราม ห่างจากฝั่งบ้านบางเสร่ อำเภอสัตหีบ ไปทางตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากเกาะรางเกวียนไปทางเหนือราว 800 เมตร นักโบราณคดีบางคนเรียกเรือรางเกวียนว่า เรืองาช้าง และเรือเหรียญอีแปะ เพราะพบงาช้างและเหรียญอีแปะ ซึ่งเป็นเหรียญเงินของจีนเป็นจำนวนมาก กล่าวคือพบงาช้างประมาณ 25-30 กิ่ง และเหรียญอีแปะอีกประมาณ 200 กิโลกรัม นอกจากงาช้าง เหรียญอีแปะ และสินค้าอื่นอีกจำนวนมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผา แท่งทองแดง และคันฉ่องแล้ว ยังได้พบชิ้นส่วนของเครื่องเขินลงพื้นสีดำลวดลายสีแดง 1 ชิ้น อยู่ท่ามกลางสินค้าต่างๆ ซึ่งนักวิชาการกล่าวว่า เมื่อดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นเครื่องเขินของจีนหรือญี่ปุ่น
  2. แหล่งเรือจมสีชัง แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ประกอบด้วยเรือจม 1 ลำ จมอยู่ในแนวร่องน้ำลึกประมาณ 31 เมตร ห่างจากเกาะสีชังราว 3 กิโลเมตร ในบริเวณนี้ได้พบสิ่งของเป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผาจีนชนิดดี ก้อนตะกั่ว และชิ้นส่วนของเครื่องเขินของจีนลายมังกรและกิเลน การพบเครื่องเขินในปริมาณน้อยเช่นนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของใช้ในเรือมากกว่านำเข้ามาเป็นสินค้า

เครื่องมือเครื่องใช้ที่เรียกว่า “เครื่องเขิน”

เครื่องเขินเป็นงานหัตถกรรมชนิดหนึ่งซึ่งทำจากไม้ โดยเฉพาะไม้ไผ่ซึ่งพบอยู่ทั่วไปในล้านนา ไม้ไผ่ที่นิยมนำมาทำเครื่องเขินคือ ไผ่เฮียะทั้งนี้เพราะมีลักษณะลำต้นเรียวตรงขนาดลำต้นไม่ใหญ่นัก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-6 เซนติเมตร และมีลำปล้องยาวมากประมาณ 40-60 เซนติเมตรซึ่งจัดเป็นไม้ไผ่ที่มีลำปล้องยาวที่สุด เนื้อบางและเบา สามารถขึ้นรูปภาชนะที่ต้องการความบางเป็นพิเศษได้ง่ายแม้จะเป็นภาชนะขนาดใหญ่ก็ตาม และเมื่อเคลือบทาด้วยยางรักแล้วก็จะมีความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับไม้ชนิดอื่น “...การที่ไม้ไผ่มีปล้องยาวและเรียวตรงทำให้ขึ้นรูปภาชนะได้ง่ายทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ นอกจากนั้นไผ่เฮียะยัง เหนียวและไม่แตกทำให้สามารถจักตอกเป็นเส้นได้ง่าย...”แต่อย่างไรก็ตามไผ่เฮียะยังมีข้อเสียอยู่บ้างคือ มอดชอบไชกินเนื้อไม้ดังนั้นช่างจึงเลือกไม้ที่มีอายุไม่เกิน 2-3 ปี และนำไปแช่ในน้ำผสมกำมะถันต้มประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะนำมาสานขึ้นรูป



ขั้นตอนการทำเครื่องเขิน  ในการทำเครื่องเขินแต่ละชิ้นต้องใช้ความรู้ความสามารถและมีความชำนาญมาก รวมทั้งยังต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์กว่าจะได้ชิ้นงานแต่ละชิ้น ขั้นตอนสำคัญในการผลิตที่สำคัญมีดังนี้