เครื่องเขินเป็นงานศิลปกรรมอีกอย่างหนึ่งของล้านนาและเป็นสิ่งของเครื่องใช้
ที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวล้านนาในอดีตเป็นอย่างมากจนอาจจะกล่าว
ได้ว่าเครื่องเขินนั้นเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและแสดงถึง
คุณลักษณะของชาวล้านนาได้เป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงเครื่องเขินแล้ว โดยทั่วไปจะ
หมายถึง ภาชนะเครื่องใช้ที่สานด้วยไม้ไผ่แล้วเคลือบด้วยรักเขียนลวดลายประดับ
ตกแต่งด้วยชาดทองคำเปลวหรือเงินเปลวที่ผลิตขึ้น โดยชาวเชียงใหม่
ที่มีเชื้อสายสืบมาจากไทเขินแต่โบราณ
คำว่า "เครื่องเขิน" ตามพจนานุกรมไทยได้กล่าวไว้ว่า "เครื่องสานที่ทาด้วยรักพาะอย่างหนึ่งและชาด" แต่โดยทั่วไปแล้วเครื่องเขินหมายถึง "เครื่องใช้สอยที่ทำขึ้นโดยวิธีการเฉพาะอย่างหนึ่งประกอบด้วยไม้หรือไม้ไผ่ ทำเป็นรูปเครื่องใช้สอยต่างๆ ตามต้องการแล้วกรรมวิธีแต่งสำเร็จให้สมบูรณ์และสวยงาม โดยใช้ ยางรัก สี ชาด มุก ทองคำเปลว เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำ"
เครื่องเขินในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lacquer ware ซึ่งที่มาของคำว่า Lacquer เริ่มใช้มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 17 ในประเทศฝรั่งเศสใช้คำว่า Lacquer ซึ่งหมายถึงกาวยางหรือครั่งที่ใช้สำหรับติดประท้บเอกสารเพื่อไม่ให้แยกหรือเปิดออกมาได้ ส่วนในประเทศสเปนและโปรตุเกสใช้คำว่า Lacre มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 16 ประเทศอิตาลีใช้คำว่า Lacra และมีการเปลี่ยนมาเป็น Lacquar ในที่สุด

ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขิน
ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขินกล่าวกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากจีน
โดยกรรมวิธี การทำเครื่องเขินได้เริ่มในสมัยฉางโจวเมื่อประมาณสี่พันปีมาแล้วโดยพบหลักฐานชิ้นส่วนและตัวภาชนะเครื่องเขินในหลุมศพของบุคคลสำคัญหลายแห่งต่อมาวัฒนธรรม
เครื่องเขินคงได้มีการแพร่หลายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่นจีนตอนใต้ เวียดนาม และเอเชียอาคเนย์แต่ก็มีแนวคิดแยกออกไปที่เชื่อว่าวัฒนธรรมเครื่องเขินน่าจะเกิดขึ้นก่อนในเขต
มณฑลยูนานและรัฐฉานเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการผลิตเครื่องเขิน
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ มีการผลิต และใช้เครื่องเขินอย่างเข้มข้น
ต่อมาค่อยแพรหลายเข้า ไปสู่จีนภายหลัง
คนจีนรู้จักพัฒนาความรู้และการผลิตตลอดจนเก็บรักษาที่เก่งและดีกว่า ทำให้มีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องเขินค่อนข้างดีและสมบูรณ์ตราบเท่าปัจจุบันนี้
เครื่องเขินของล้านนา
จากการสำรวจและศึกษาเครื่องเขินล้านนาที่ได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ในส่วนของ
เอกชนในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้นอาจจะแบ่งกลุ่มเครื่องเขินที่พบในเขตจังหวัดเชียงใหม่ไปตามลักษณะรูปทรงและเทคนิคการประดับตกแต่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
1. เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน จะมีลักษณะเป็นงานเครื่องสานที่ทาด้วยยางรักเพียงไม่กี่ครั้ง
และตกแต่งประดับประดาอย่างง่าย ๆ สำหรับเป็นของใช้ใน ชีวิตประจำวัน
เครื่องเขินชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่อง ใช้ที่เป็นเครื่องสานและลงรักสีดำหากจะมีการตกแต่งให้สวยงามอย่างมากก็ทาสีแดงชาดอย่างเรียบ ๆ เครื่องเขินชนิดนี้
เองที่ควรจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ชาวล้านนาแต่ดั้งเดิม
สามารถผลิตขึ้นใช้เองภายในครัวเรือนได้
 |
| เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน |
2. เครื่องเขินเชียงใหม่หรือเครื่องเขินนันทาราม เครื่องเขินชนิดนี้มีโครงสร้างเป็นโครงสานลายขัดด้วยเส้นตอกไม้ไผ่ที่มีการเหลาให้ได้
ขนาดเล็กเรียบบางคล้ายทางมะพร้าวสานขัดกับตอกเส้นบางแบนเป็นรูปแฉกรัศมีจาก
ก้นของภาชนะจนได้รูปทรงตามความต้องการ โดยไม่ต้องมีการดามโครงให้แข็งเป็นที่
ที่เครื่องเขินชนิดนี้จะมีโครงที่แน่นแข็งแรงเรียบเสมอกันโดยตลอด
เมื่อทารักสมุกแล้ว ขัดก็จะได้รูปภาชนะที่ค่อนข้างเรียบเกลี้ยงบาง
และมีความเบาการตกแต่งของเครื่องเขิน ชนิดนี้มีลักษณะเด่นที่นิยมการขูดลาย
หรือภาษาพื้นถิ่นว่า “ฮายดอก”
เทคนิคการตกแต่งผิวภาชนะด้วยวิธีการขูดลายนี้
ภาชนะที่จะทำลวดลายได้จะต้อง มีผิวบางรักที่แห้งสนิทและเรียบ
การฮายดอกต้องใช้เหล็กปลายแหลมคล้ายเหล็กจาร
ใบลานกรีดลงไปบนผิวยางรักของภาชนะการฮายดอกต้อง อาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก
โดยที่ไม่ให้เกิดเส้นลึกมาก จนยางรักกระเทาะออก หรือแผ่วเบาเกินไปจนทำให้ลวดลาย
มองเห็นได้ยากเมื่อฮายดอกเสร็จแล้วจึงนำยางรักที่ผสมกับ
ชาดสีแดงถมลงไปในร่องที่กรีดไว้รอให้แห้งอีกหลายวันแล้ว
จึงขัดส่วนนอกสุดออกจนมองเห็นเส้นลวดลายสีแดงฝังอยู่ในพื้นที่สีดำของยางรัก
จากนั้นจะเคลือบด้วยยางรักใสหรือรักเงา เพื่อเป็นการปิดเคลือบลวดลายทั้งหมดให้
ติดแน่นกับภาชนะเทคนิคการฮายดอกของเครื่องเขินชนิดนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของ
เครื่องเขินเชียงใหม่มาแต่เดิมซึ่งต่อมาพม่าได้กวาดต้อนเอาช่างเครื่องเขินที่ทำด้วย
เทคนิคชนิดนี้ว่า “โยนเถ่” สำหรับเครื่องเขินที่ผลิตขึ้นจากแหล่งบ้านนันทารามใน
ปัจจุบันนั้น มีเทคนิคการเขียนลวดลายที่ผิวภาชนะเป็นอย่างเดียวกันแต่เป็นผลิตผล
ที่เกิดขึ้นจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาเป็นพลเมืองเชียงใหม่กลุ่มใหม่
ดังนั้นจึง อาจจะเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า เครื่องเขินเชียงใหม่รุ่นหลังก็ได้
ปัจจุบันการผลิตเครื่องเขินแบบนันทารามดูเหมือนว่าจะสิ้นสุดลง
เหลือเพียงแต่การผลิตเพื่อการตลาดการท่องเที่ยว เป็นของที่ระลึกราคาถูก
ที่ไร้คุณภาพและรสนิยม การฮายดอกทำกันอย่างลวกๆ ใช้สีฝุ่นสีน้ำมัน
และสีสะท้อนแสงแทนชาดไม่มีการเคลือบ
ลวดลายให้ติดแน่นกับผิวภาชนะดังนั้นสีสันจึงมักจะหลุดหายไปอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเครื่องเขินใหม่จากเมืองพุกามเท่านั้นที่ยังคงเป็นงานเครื่องเขินแท้ ๆ
ถ้าเปรียบเทียบ กับเครื่องเขินที่ผลิตในเมืองไทย
 |
| เครื่องเขินนันทาราม |
 |
| เครื่องเขินนันทาราม |
3. เครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมือง
เครื่องเขินแบบนี้ส่วนใหญ่ มีโครงสานเป็น ลายขัดหรือขดให้เกิดรูปทรงแบบต่าง ๆ
ตามต้องการ มีการดามและรัดขอบเป็นชั้นๆ ให้เกิดความแข็งแรงและสวยงามด้วยตอกหรือหวายการตกแต่งประดับ
ประดาเกิดจากลวดลายของการสานเส้นตอกไม้ไผ่ในบางส่วน และอีกหลายส่วนเป็น
การถมพื้นให้เรียบเขียนลวดลายด้วยชาดสีแดง บางทีมีการแตะ ทองคำเปลวเน้นส่วนสำคัญของลวดลายให้
เด่นขึ้นลักษณะของ การเขียนลวดลาย คือการใช้พู่กันจุ่มยางรัก หรือรักผสมชาด
แล้วหยดลงบนพื้นของภาชนะเป็นจุดต่อด้วยการลากให้เป็น
หางยาวออกไปทำให้เกิดลวดลายคล้ายตัวลูกอ๊อดและเมื่อมีลวด
ลายเช่นนี้ติดต่อกันเป็นชุดก็จะได้รูปของกลีบดอกไม้หรือลายเครือเถาต่าง ๆ มากมาย
อย่างไม่สิ้นสุด
 |
| เครื่องเขินแบบสันป่าตอง |
 |
| เครื่องเขินแบบสันป่าตอง |
ประเภทของเครื่องเขินแบบพื้นเมืองที่แพร่หลายในอดีต
คือ ขันหมากขนาดใหญ่ ทรงกระบอก ปุงใส่เมล็ดพืชและของจุกจิกทั่วไป กระบุงเล็กหรือขัน
โถสำหรับใส่ของ ถวายพระและเครื่องประกอบพิธีกรรมและหีบใส่ผ้าขนาดปานกลางสำหรับพิธีแต่งงาน
แต่เดิมเครื่องเขินประเภทนี้ชาวพื้นเมืองจะผลิตขึ้นใช้เองในพื้นที่ของตนไม่ได้มีการ
ซื้อขายอย่างจริงจัง ดังนั้นระดับงานผีมือในเขตล้านนาจึงเป็นงานศิลปะพื้นบ้านที่เข้มข้น
มิได้มีแบบแผนที่ชัดเจน ลวดลายที่เขียนก็มีลักษณะเป็นการวาดแบบสด ๆ มีการแสดงออกและแนวทางการสร้างสรรค์สูงมาก แหล่งผลิตของเครื่องเขินชนิดนี้ จะพบอยู่ในกลุ่มหมู่บ้านชาวไทยเขินที่ บ้านต้นแหน
บ้านท้องฝ่าย บ้านทุ่งเสี้ยว บ้านป่าสัก บ้านเก็ด และบ้านน้ำรัก เขตอำเภอสันป่าตองเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงนิยมเรียกเครื่องเขินชนิดนี้กันโดยทั้วไปว่า เครื่องเขินสันป่าตอง
นอกจากนี้ยังมีพบในบางหมู่บ้านในเขตจังหวัดลำพูนตลอดจนพื้นที่ของ อำเภอแม่ริม และอำเภอแม่แตง
จังหวัดเชียงใหม่ด้วยอย่างไรก็ตามเครื่องเขินแบบนี้ได้เลิกผลิตไปเป็นเวลานานแล้ว
(ไม่ต่ำกว่าหกสิบปี) ดังนั้นเครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมืองที่เหลืออยู่ดังกล่าวนี้จึงอาจนับเป็นมรดกประวัติศาสตร์รุ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่และมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งสมควรแก่การที่จะต้องรักษาไว้ให้คงอยู่ในล้านนาเพื่อเป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาสืบไป