วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เครื่องเขินล้านนาภูมิปัญญาจากอดีต "จานรองแก้ว"




จัดทำโดย สาขาวิชาการออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่


สถานที่ถ่ายทำ ร้านประเทืองเครื่องเขิน

“ร้อยเรื่องเมืองไทย” ตอน “เครื่องเขินเชียงใหม่”







ร้อยเรื่องเมืองไทยตอน เครื่องเขินเชียงใหม่” 
 เขิน คือ เครื่องใช้ที่ทำจากไม้หรือไม้ไผ่สา­น ทาทับด้วยยางรักธรรมชาติ ขูดลวดลาย ลงสีหรือปิดทองคำเปลว เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนล้านนา ถ่ายทอดสืบต่อยังคนรุ่นปัจจุบัน 


ประเภทของเครื่องเขิน (5)

หีบผ้าใหม่

ในอดีตเมื่อผู้ชายชาวล้านนาจะเข้าพิธีแต่งงานและย้ายไปอยู่กับฝ่ายภรรยาสิ่งที่ ต้องนำติดตัวไปก็คือ ดาบประจำตัวและหีบผ้าใหม่สำหรับใส่เสื้อผ้าในการย้ายบ้านเพื่อ เป็นการแสดงความมีหน้ามีตาและรสนิยมของวงศ์ตระกูล พ่อแม่และญาติของฝ่ายชาย จะสรรหาหีบผ้าใหม่สำหรับงานแต่งงานที่หรูหราและวิจิตรเลอค่าตามยุคตามสมัยในอดีต หีบผ้าเครื่องเขินทรงแปดเหลี่ยมยาวสำหรับใส่ผ้าพับขนาดกว้างประมาณ 10 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว สูงประมาณ 15 นิ้วเป็นที่นิยมกันมากเทคนิคการสานไม้ไผ่คาดด้วยตอกยางรักสีดำ สีแดงในลักษณะต่าง ๆ เป็นแบบมาตราฐานของหีบผ้าใหม่ผู้มีฐานะดีจะว่าจ้างช่างให้ตก แต่งเขียนลวดลายพันธุ์พฤกษาด้วยชาดและแต้มทองคำเปลวอย่างสวยงามฝาด้านบนของ หีบผ้าจะอูมนูนเน้นความรู้สึกเกี่ยวกับความมั่งครั่งมีอุดมสมบูรณ์ เชิงของหีบผ้าจะบาน ผายออกคล้ายกับขันหมากพื้นเมือง ไม่ปรากฎว่ามีการตกแต่งหีบผ้าใหม่ด้วยการฮายดอก หรือ ติดกระจกแก้วอังวะ หีบผ้าใหม่จะเป็นจุดสนใจในพิธีแต่งงาน แต่จะถูกเก็บไว้ใน ห้องนอนอย่างมิดชิดเป็นสมบัติของลูกหลานต่อไปหลังจากเสร็จพิธี

หีบผ้าใหม่

ในช่วง 80 ปีมานี้ ความนิยมใช้หีบผ้าเครื่องเขินได้ลดน้อยลง ส่วนใหญ่หันมาใช้หีบไม้สักมีขาแบบกำปั่นจีนต่อมานิยมกำหั่นเหล็กแบบฝรั่งแทน ปัจจุบันนี้ใช้ กระเป๋าเดินทางหรือไม่ก็เป็นตู้เสื้อผ้าสมัยใหม่ไปเลย หีบผ้าใหม่จึงเป็นรูปแบบของเครื่องเขินในอดีตเท่านั้น


ประเภทของเครื่องเขิน (4)


ขันโตก

ขันโตก หรือ โตก ภาชนะสำหรับวางสำรับอาหารของชาวล้านนา บ้างเรียก สะโตก มีรูปทรงกลม ความกว้างมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 30 เซนติเมตรขึ้นไป มีเชิง สูงประมาณ 1 ฟุต มีทั้งขันโตกไม้ และขันโตกหวายการใช้งานของขันโตกนั้น ใช้เป็นภาชนะที่วางถ้วยอาหารกับข้าว เมื่อใส่กับข้าวแล้วยกมาตั้งสมาชิกในครอบครัวหรือแขกที่มาบ้านจะนั่งล้อมวงกันกินข้าว ใช้ใส่ดอกไม้ธูปเทียนแทนขันดอก ใช้ใส่เครื่องคำนับเป็นขันตั้ง ใช้ใส่ผลหมากรากไม้

ขันโตกแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้
1. ขันโตกหลวง หรือ สะโตกหลวง ทำด้วยไม้ขนาดใหญ่ ตัดท่อนมากลึงหรือเคี่ยนเป็นขันโตก มีความกว้างประมาณ2550 นิ้ว ตามขนาดของไม้ที่หามาได้ และนิยมใช้การในราชสำนักในคุ้มในวังของเจ้านายฝ่ายเหนือทั่วไป รวมทั้งใช้ในวัดวาอารามทั่วไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับยศศักดิ์ และความยิ่งใหญ่ของชนชั้นผู้ปกครองในการที่จะใช้เลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองด้วย ส่วนวัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้ควรแก่การเคารพนพนอบ มีประชาชนนำอาหารไปถวายมาก ดังนั้นประชาชนจึงนิยมทำขันโตกหลวงไปถวายวัด
ขันโตกหลวง
2. ขันโตกฮาม หรือ สะโตกทะราม เป็นขันโตกขนาดกลางประมาณ 17-24 นิ้ว (คำว่า ฮาม หรือ ทะรามนี้ หมายถึง ขนาดกลาง) ใช้ไม้ขนาดกลางมาตัดและเคี่ยนหรือกลึงเหมือนขันโตกหลวง ลงรักทาหางอย่างเดียวกัน ผู้ที่ใช้ขันโตกขนาดนี้ มักได้แก่ครอบครัวขนาดใหญ่ เช่น คหบดี เศรษฐีผู้มีอันจะกิน หรือถ้าเป็นวัด ผู้ที่ใช้ขันโตกขนาดนี้คือพระภิกษุ ในระดับรองสมภาร
ขันโตกฮาม

3. ขันโตกหน้อย เป็นขันโตกขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 1015 นิ้ว วิธีทำมีลักษณะเช่นเดียวกับขันโตกหลวงและขันโตกฮาม ใช้ในครอบครัวเล็ก เช่น หญิงชายพึ่งแต่งงานใหม่ หรือ ผู้ที่รับประทานคนเดียว อาหารที่ใส่ก็มีจำนวนน้อย
ขันโตกหน้อย

ประเภทของเครื่องเขิน (3)

ขันดอก
พานใส่ดอกไม้และเครื่องเซ่นไหว้ของชาวล้านนาเรียกว่าขันดอกมีลักษณะคล้าย จานที่มีฐานยกสูงขึ้นไป เข้าใจว่าคงได้รูปแบบหรืออิทธิพลมาจากจานเชิงของจีนซึ่ง เป็นเครื่องปั้นดินเผาแต่ว่าขันจะมีส่วนจานและฐานเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงายอย่างชัดเจน หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่าฐานปัทม์ส่วนใหญ่ขันดอกแบบโบราณจะทำมาจากไม้สักกลึง สองหรือสามตอนมาสวมต่อกันเป็นรูปพานทาด้วยยางรักและตกแต่งด้วยการเขียน ลวดลายสีดำสีแดงเป็นกลีบบัวสอดไส้ขนาดทั่ว ๆ ไปของขันดอกสูงประมาณ 12 นิ้ว และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ใช้สำหรับใส่ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนไปวัดหรือ ในพิธีกรรม บางทีก็ใช้ใส่เครืองเซ่นไหว้และของที่มอบให้เป็นทางการในพิธีสำคัญ
ขันดอก
ขันดอกไม้กลึง เป็นขันดอกประเภทหนึ่งที่ชาวล้านนาได้รับอิทธิพลและรูปแบบ จากขันดอกของชาวไทเขินเรียกว่า ขันซี่หรือ ขันตีนถี่ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เด่นมาก กล่าวคือช่วงที่เชื่อมระหว่างตัวพานไม้กลึงกับฐานไม้กลึงแทน ที่จะเป็นไม้กลึงทรงบัวลูกแก้ว ก็จะเป็นซี่ไม้กลึงขนาดเล็ก ๆ เรียงชิดกันเป็นแถวรอบฐานทรงกลมคล้ายขันโตกขันซี่ทั่วไป จะทาสีแดงชาดเท่านั้นไม่นิยมมีลวดลายประดับเหมือนขันดอก แบบพื้นเมือง ขันซี่บางชุดมีการกลึงลวดบัวที่มีสัดส่วนสวยงาม แปลกตา บางชุดก็มีความกล้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 18 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ใช้สำหรับเป็นขันตั้งหรือภาชนะในพิธีสำคัญทางศาสนา ซี่ไม้ที่เป็นขามีการเหลาเป็น ปล้อง ๆ สวยงามเมื่อเรียงเป็นแถวจะมีลักษณะคล้ายลูกกรงระเบียงบ้าน
ขันดอกไม้กลึง
ภาชนะเครื่องรักที่มีรูปทรงที่พัฒนามาจากกระบุงไม้ไผ่สานสำหรับใส่ของหลาย ประเภทในพิธีกรรมและการไปทำบุญเรียกว่าขันโอ รูปทรงของขันโอเหมือนกระบุง ขนาดเล็กป้อม ๆ เตี้ย ๆ ทาด้วยยางรักเรียบ ด้านนอกสีดำด้านในสีแดง มีหูเล็ก ๆ สี่หู สำหรับร้อยเชือกหาบปากขันโอมีถาดวางปิดไว้ก้นขันโอมีการเสริมปุ่มสี่ปุ่มด้วยการปั้น ยางรักให้หนารองรับการถูไถได้ดีบางทีก็ใช้หอยเบี้ยเสริมความแข็งแรงของปุ่มรองก้น ขันโอจะนิยมผลิตเป็นคู่เสมอ เรียกว่าเป็นหาบไม้คานหาบส่วนใหญ่จะเป็นไม้คานเรียว เล็กดัดปลายทั้งสองให้งอนขึ้น หรือแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม ขันโอที่เป็นใบเดี่ยว ไม่มีคู่จะมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ถึง 12 นิ้วประดับด้วยลวดลาย การเขียนสีหรือปิดทอง ไม่มีหูร้อยเชือก เพราะใช้อุ้มเหมือนขันเงินหรือสลุงเงิน น่าจะ เป็นอิทธิพลจาก ก๊อกโอหรือซ้าข้องของชาวไทเขินจากเชียงตุง



ประเภทของเครื่องเขิน (2)

ขันหมาก

            การกินหมากเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมของคนเอเชียโดยทั่วไป ภาชนะของประกอบ การกินหมากภาษาไทยกลางเรียกว่า เชี่ยนหมาก ชาวล้านนาเรียกว่า ขันหมาก ลักษณะ ของขันหมากพื้นเมืองของชาวล้านขนาดเฉลี่ยมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหรูหรากว่าภาชนะ ที่เกี่ยวข้องกับการกินหมากในภูมิภาคอื่นขันหมากล้านนามีโครงเป็นไม้ไผ่สานและขดเป็น ทรงกระบอกกลมหรือหักเหลี่ยมโค้งกว้างประมาณ15 นิ้ว สูง 1220 นิ้วเป็นกล่องขนาด ใหญ่สำหรับใส่ใบพลูชั้นล่างและมีถาดเป็นฝาปิดข้างบนเพื่อรองรับตลับหมากขนาดเล็ก ใช้ใส่เครื่องเคี้ยวอื่น ๆ รวมทั้งมีดผ่าหมากและเต้าปูน ขันหมากส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยการ เขียนลวดลายสีชาด และรักพิมพ์ บางครั้งมีการเติมด้วยทองคำเปลวเพิ่มความสวยงาม หรูหรามากขึ้น การติดเบี้ยที่ตีนขันหมากแสดงออกถึงความร่ำรวยและมีกินมีใช้ของเจ้า ของบ้านแล้วยังเป็นหน้าเป็นตาและความภูมิใจของเจ้าของเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนในอดีตเจ้าของเรือนจะนำเอาขันหมากใบสวยงามออกมา ต้อนรับแขกที่มาถึงบนเรือนเป็นการแสดงถึงไมตรีและการให้เกียรติอีกทั้งเป็นการแสดง ออกถึงรสนิยมที่ดีและความมั่งมีของเจ้าของเรือน แต่เดิมชุดตลับเล็ก ๆ บนถาดฝา ขันหมากเป็นไม้กลึงสวยงามบางครั้งก็เป็นตลับขดด้วยตอกไม้ไผ่ทารักเช่นเดียวกับตัว ขันหมากในสมัยหลัง ๆ นิยมใช้ตลับเงินตีดุนเป็นลวดลายแทนไม้กลึงทำให้ดูหรูหราภูมิฐาน มากขึ้น



            การผลิตขันหมากพื้นเมืองแต่ละพื้นที่จะมีผู้ชำนาญการ หรือผู้ผลิตในเชิงธุรกิจ นับตั้งแต่ การขึ้นโครงสาน การทารักทาชาดและเขียนลวดลายประดับประดา รูปแบบ ของงานจะปรากฎออกมาเป็นกลุ่มสกุลช่างประจำถิ่น พบอยู่กันเป็นละแวกกว้าง ๆ แต่รัศมีไม่ไกลจากแหล่งผลิตเท่าใดนักลูกค้าหรือผู้ซื้อจะมาสั่งทำเป็นราย ๆ มิได้มีการผลิตแล้วนำไปเร่ขายทั่ว ๆ ไป ดังนั้นความ หรูหราวิจิตร จะขึ้นอยู่กับผู้สั่งทำขันหมาก ประกอบกับขีดความสามารถและทักษะของช่างผู้ผลิตบางครั้งพบ ว่าช่างเครื่อเขินพื้นเมืองประเภทนี้เป็น ภิกษุ สามเณรที่ชำนาญทางด้านศิลปะและงานช่าง ทั่วไปและทำงานเครื่องเขินเป็นงานอดิเรก เช่น อดีตเจ้าอาวาสวัดต้นแหนน้อย เชื้อสาย ไทเขิน ที่บ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่



            อย่างไรก็ตามรูปแบบขันหมากพื้นเมืองนี้ค่อนข้างจะมีโครงสร้างและการตกแต่ง คล้าย ๆ กัน คือมีโครงสานด้วยตอกแบน ดามด้วยตอกเส้นหนา ขดเป็นวงกลมเสริม ให้แข็งแรงเป็นปล้อง ๆ ตีนขันหมากจะผายออกเล็กน้อย ถาดฝาบนตัวขันหมากมีขอบ สูงป้องกันตลับกลิ้งตกจากขันหมากช่วงตัวตอนกลางจะมีลวดลายประดับเป็นลวดลาย หลักใช้รักสีดำและชาดสีแดงตัดกันเป็นองค์ประกอบทางศิลปะลักษณะรูปทรงเช่นนี้ จะพบทั้วไปอย่างหนาแน่นในเขตเชียงใหม่ ลำพูน ลำปางแพร่ น่าน และประปรายใน พื้นที่ใกล้เคียง

         

ประเภทของเครื่องเขิน

การใช้เครื่องเขินเป็นศิลปะวัฒนธรรมอย่างหนึ่ของภาคพื้นเอเชียอาคเนย์โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ชาวล้านนาที่ใช้เครื่องเขินมาช้านานแล้ว และ มีรูปแบบรูปทรงที่หลากหลาย สนองตอบการใช้สอย    ค่านิยม และรสนิยมของสังคม รูปแบบที่แพร่หลายและมีลักษณะเด่นเฉพาะเครื่องเขินล้านนามีดังนี้
ปุง
            ตั้งแต่โบราณมาแทบทุกครัวเรือนของชาวล้านนาจะมีภาชนะประเภทนี้ไว้ใช้ในเรือน อย่างน้อย  2 ถึง 3   ใบปุงมีโครงเป็นเครื่องสานคล้ายกล่องข้าวเหนียวมีก้นสี่เหลี่ยม ส่วนใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ว สูงประมาณ 18 นิ้วคอคอดทรงกระบอกฝาปิด คล้าย ๆ ขวดโหลแก้ว ฐานของปุงทำด้วยไม้จริงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ2 – 3 นิ้ว คาดรัดติดกับปุงด้วยเส้นหวายถักยึดกับคอของภาชนะตัวของปุงมีลักษณะอ้วนป่องทา ด้วยยางรักหนาพอสมควรจึงมีลักษณะแข็งแรงรองรับการกระทบกระทั่งได้ดีการตกแต่ง ส่วนใหญ่เป็นการเขียนลวดลายด้วยชาดเป็นลายพันธุ์พฤกษาแบบพื้นเมืองไม่นิยมมีรูปสัตว์ ลวดลายตกแต่ง จะเน้นด้านข้างสี่ด้านของภาชนะเปิดเป็นลายช่องกระจก ไม่ปรากฎว่ามีการปิดทองคำเปลวหรืองานประดับกระจก ปกติจะมีรูสำหรับร้อยเชือกจากฐานไม่โยง ผ่านหูปลอกหวายที่คอของภาชนะสำหรับหิ้วหรือหาบดั้งเดิมมีหน้าที่ใช้สอยสำหรับเก็บ เมล็ดพันธุ์พืชและของใช้ส่วนตัวมิได้ใช้รับแขกหรือเป็นหน้าตาของเจ้าของบ้าน ไม่ปรากฏว่ามีปุงที่ตกแต่งด้วยเทคนิคการฮายดอก ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านทำขึ้นใช้เอง หรือไหว้วานเพื่อนบ้านคนคุ้นเคยทำให้ มิได้ทำสำหรับการซื้อขาย ดังนั้นขีดความสามารถ ทักษะอารมณ์ และความเฉพาะตัวทางศิลปะจึงดูเหมือนว่ามีความชัดเจนมากลวดลายประดับปุง อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างงานศิลปะพื้นบ้านแท้ ๆ ของล้านนาปราศจากกรอบและแบบแผนของสกุลช่างที่เป็นกฎเกณฑ์บังคับ

 
ปุง

เครื่องเขินลำพูน

รูปแบบของเครื่องเขินลำพูน  โดยรูปแบบแล้วมีความหลากหลายของตัวรูปพรรณ ทั้งงานไม้กลึงอันได้แก่ ขันแอว และขันซี่  แล้วยังมีงานเครื่องสานอันประกอบด้วย ปุง หีบผ้า แอ็บ โอและขันหมาก  ปกติแล้วจะเป็นงานลงรักและทาชาดสีดำแดงเรียบๆ แต่หากเป็นงานเขียนลวดลายนิยมเขียนด้วยสีดำแดงของรักและชาดด้วยเทคนิคการแตะแล้วลากเส้นประกอบเป็นลวดลายพรรณพฤกษาขนาดเล็กๆ ป้อมๆ แตกต่างไปจากกลุ่มเครื่องเขินเชียงใหม่ โดยเฉพาะนิยมแต้มลายคล้ายตัวบ่างหรือลายกนกด้วยชาดที่สีออกส้มหรือสีเหลืองของรงค์ฝีมือไม่ค่อยประณีตมากนักและนิยมแต้มทองคำเปลวเปรอะไปทั่ว อีกทั้งรูปทรงโดยเฉพาะขันหมากมักมีรูปทรงกลมกว้างและเตี้ยกว่าขันหมากเชียงใหม่






เครื่องเขินเชียงใหม่

รูปแบบของเครื่องเขินเชียงใหม่  โดยรูปแบบแล้วมีความหลากหลายของตัวรูปพรรณ ทั้งงานไม้กลึงอันได้แก่ ขันแอว และขันซี่  แล้วยังมีงานเครื่องสานอันประกอบด้วย ปุง หีบผ้า แอ็บ โอและขันหมาก  ปกติแล้วจะเป็นงานลงรักและทาชาดสีดำแดงเรียบๆ แต่หากเป็นงานเขียนลวดลายนิยมเขียนด้วยสีดำแดงของรักและชาดด้วยเทคนิคการแตะแล้วลากเส้นประกอบเป็นลวดลายพรรณพฤกษาที่ยอดปลายแหลม  ในบางครั้งอาจมีการสอดแทรกสีสันอื่นเพื่อทดแทนสิ่งที่มีราคาสูงดังเช่น ทองคำเปลวเป็น Highlight ให้เกิดความงดงามที่ทดแทนกันได้บ้างจากการใช่สีเหลืองของรงค์ หรือชาดสีออกส้มโดยเฉพาะขันหมากลมทรงสูงแบบนิยมในสันป่าตอง  แต่สำหรับบางพื้นที่อื่นอาจมีการสร้างงานด้วยรูปทรงเหลี่ยมตั้งแต่แปดถึงสิบหกเหลี่ยมและทรงกลม  แต่ทรงเตี้ยและกว้างกว่ากลุ่มสันป่าตอง  ซึ่งเป็นรูปทรงที่นิยมอย่างมากในหมู่คหบดีและเจ้านายในเวียงเชียงใหม่ โดยการตกแต่งเป็นลวดลายจะเพิ่มความวิจิตรงดงามด้วยการปิดทองคำเปลวประดับกระจกที่เรียกว่า “แก้วจืน” และมี “เบี้ย” ประดับที่มุมขอบล่างของตีนขันหมากด้วย  สำหรับกลุ่มวัวลาย นันทาราม นิยมทำงานรูปพรรณด้วยเทคนิคจักสานทารักอันได้แก่ ขันแอว แอ็บหมาก กระโถน น้ำต้น จอก ถาด ปิ่นโต ขันน้ำพานรอง และหีบบุหรี่   โดยมีความโดดเด่นที่เทคนิคการตกแต่งด้วยการ “ฮายลาย” ด้วยเหล็กปลายแหลมแล้วถมชาดสีแดงลงในร่องเกิดเป็นลวดลายพรรณพฤกษาที่เล็กละเอียด






ประวัติความเป็นมาเครื่องเขินของล้านนา

เครื่องเขินมิใช่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ชนิดที่เพิ่งเข้ามาสู่ดินแดนล้านนาในยุคฟื้นฟู เมืองเชียงใหม่แต่เครื่องเขินนั้นถือเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่มีใช้อยู่อย่างแพร่หลายในล้านนา มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว (เมื่อราวปี พ.ศ. 2100 ) ดังปรากฏหลักฐานในพงศาวดารพม่าว่า เมื่อพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ได้กวาดต้อนเอาชาวเมืองเชียงใหม่และช่างผีมือไปไว้ ในเมืองพม่าหลายครั้ง ปัจจุบันชาวล้านนาเหล่านั้นยังคงมีการทำเครื่องเขินชนิดขูดขีดเป็น ลายเส้น แล้วถมลายเส้นด้วยสีต่าง ๆ อยู่ที่เมืองพุกามซึ่งพม่าเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า “โยนเถ่” ซึ่งแปลว่า เครื่องยวน หรือ เครื่องประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวไทยยวนหรือล้านนาเครื่อง เขินของพม่ามีลวดลายประดับแบบหนึ่งซึ่งว่า “ซินเม่” ซึ่งคำว่าซินเม่นี้ หมายถึง เชียงใหม่ น่าจะเป็นลวดลายดั้งเดิมจากเชียงใหมตั้งแต่ปลายสมัยราชวงค์มังราย ปี พ.ศ. 2100
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในเรื่องเที่ยวพม่า พ.ศ.2478 ว่าได้รับความรู้แปลกทางโบราณคดี เรื่องการทำของลงรักในเมืองพม่าไว้อย่างหนึ่ง จะกล่าวไว้ตรงนี้ด้วย “ฉันได้เห็นในหนังสือพงศาวดารพม่าฉบับหนึ่งว่าวิชาทำนอง ลงรักนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้ไปจากเมืองไทย (คือว่าได้ช่างรักไทยไปเมื่อ ตีกรุงศรีอยุธยา ได้ใน พ.ศ. 2112 ถ้าจริงดังว่าก็พึงสันนิษฐานว่าครั้งนั้นได้ไปแต่ วิธีทำรัก “น้ำเกลี้ยง” กับทำ “ลายรดน้ำ” จึงมีของพม่าทำเช่นนั้นแต่โบราณแต่วิธี ที่ขูดพื้นรักลงไปเป็นรูปภาพ และลวดลายต่าง ๆ นั้นพวกช่างชาวเมืองพุกามเขา บอกฉันว่าพึ่งได้วิธีไปจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อครั้งหลัง”
มีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงการใช้ยางรักสำหรับเคลือบผิวภาชนะต่าง ๆ ก่อนยุคราชวงค์ มังรายคือในสมัยหริภูญชัย เช่นที่อาจารย์ จอห์นชอร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาไทยได้ค้นพบว่า เครื่องปั้นดินเผาบางชิ้นในวัฒนธรรมหริภูญชัยมีการ เคลือบยางรัก ส่วนเครื่องจักสานและไม้ที่เคลือบด้วย ยางรักในยุคนั้น คงเปื่อยผุและสลายไปกับกาลเวลา เพราะเป็นสารอินทรีย์ ถ้าไม่เก็บรักษาอย่างดีทำให้ ยางรักแปรสภาพภายในไม่กี่สิบปีส่วนที่ติดอยู่ดินเผาในหลุมศพนั้นบังเอิญมีการห่อหุ้ม อย่างดี ทำให้ยางรักบางส่วนตกค้างเป็นหลักฐานให้เห็นถึงปัจจุบัน ที่พิพิธภัณฑ์ Tokugawa นครนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น มีการจัดแสดงของใช้ส่วนตัว ของโชกุนหลาย ๆ อย่าง มีของใช้ชิ้นหนึ่งเป็นตลับเครื่องเขินทรงกลมที่เป็นแอ๊ปหมาก (ตลับหมาก) ของเชียงใหม่ สีดำแดงตามแบบฉบับของเชียงใหม่ทุกประการ แต่คำอธิบาย บอกว่าเป็นของขวัญจากอยุธยาได้มาเมื่อปีพ.ศ.2200 เข้าใจว่าเครื่องเขินคงแพร่หลาย จากเชียงใหม่ลงมาถึงอยุธยาและเป็นของส่งออกตามเส้นทางค้าขายชายทะเลด้วย



เครื่องเขิน

            เครื่องเขินเป็นงานศิลปกรรมอีกอย่างหนึ่งของล้านนาและเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวล้านนาในอดีตเป็นอย่างมากจนอาจจะกล่าว ได้ว่าเครื่องเขินนั้นเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและแสดงถึง คุณลักษณะของชาวล้านนาได้เป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงเครื่องเขินแล้ว โดยทั่วไปจะ หมายถึง ภาชนะเครื่องใช้ที่สานด้วยไม้ไผ่แล้วเคลือบด้วยรักเขียนลวดลายประดับ ตกแต่งด้วยชาดทองคำเปลวหรือเงินเปลวที่ผลิตขึ้น โดยชาวเชียงใหม่ ที่มีเชื้อสายสืบมาจากไทเขินแต่โบราณ
             คำว่า "เครื่องเขิน" ตามพจนานุกรมไทยได้กล่าวไว้ว่า  "เครื่องสานที่ทาด้วยรักพาะอย่างหนึ่งและชาด" แต่โดยทั่วไปแล้วเครื่องเขินหมายถึง "เครื่องใช้สอยที่ทำขึ้นโดยวิธีการเฉพาะอย่างหนึ่งประกอบด้วยไม้หรือไม้ไผ่  ทำเป็นรูปเครื่องใช้สอยต่างๆ ตามต้องการแล้วกรรมวิธีแต่งสำเร็จให้สมบูรณ์และสวยงาม  โดยใช้ ยางรัก สี ชาด มุก ทองคำเปลว เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำ"
            เครื่องเขินในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lacquer ware ซึ่งที่มาของคำว่า Lacquer เริ่มใช้มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 17 ในประเทศฝรั่งเศสใช้คำว่า Lacquer ซึ่งหมายถึงกาวยางหรือครั่งที่ใช้สำหรับติดประท้บเอกสารเพื่อไม่ให้แยกหรือเปิดออกมาได้  ส่วนในประเทศสเปนและโปรตุเกสใช้คำว่า Lacre มาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 16 ประเทศอิตาลีใช้คำว่า Lacra และมีการเปลี่ยนมาเป็น Lacquar ในที่สุด



ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขิน
            ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขินกล่าวกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากจีน โดยกรรมวิธี การทำเครื่องเขินได้เริ่มในสมัยฉางโจวเมื่อประมาณสี่พันปีมาแล้วโดยพบหลักฐานชิ้นส่วนและตัวภาชนะเครื่องเขินในหลุมศพของบุคคลสำคัญหลายแห่งต่อมาวัฒนธรรม เครื่องเขินคงได้มีการแพร่หลายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่นจีนตอนใต้ เวียดนาม และเอเชียอาคเนย์แต่ก็มีแนวคิดแยกออกไปที่เชื่อว่าวัฒนธรรมเครื่องเขินน่าจะเกิดขึ้นก่อนในเขต มณฑลยูนานและรัฐฉานเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการผลิตเครื่องเขิน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ มีการผลิต และใช้เครื่องเขินอย่างเข้มข้น ต่อมาค่อยแพรหลายเข้า ไปสู่จีนภายหลัง คนจีนรู้จักพัฒนาความรู้และการผลิตตลอดจนเก็บรักษาที่เก่งและดีกว่า ทำให้มีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องเขินค่อนข้างดีและสมบูรณ์ตราบเท่าปัจจุบันนี้

เครื่องเขินของล้านนา
            จากการสำรวจและศึกษาเครื่องเขินล้านนาที่ได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ในส่วนของ เอกชนในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้นอาจจะแบ่งกลุ่มเครื่องเขินที่พบในเขตจังหวัดเชียงใหม่ไปตามลักษณะรูปทรงและเทคนิคการประดับตกแต่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
          1. เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน จะมีลักษณะเป็นงานเครื่องสานที่ทาด้วยยางรักเพียงไม่กี่ครั้ง และตกแต่งประดับประดาอย่างง่าย ๆ สำหรับเป็นของใช้ใน ชีวิตประจำวัน เครื่องเขินชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่อง ใช้ที่เป็นเครื่องสานและลงรักสีดำหากจะมีการตกแต่งให้สวยงามอย่างมากก็ทาสีแดงชาดอย่างเรียบ ๆ เครื่องเขินชนิดนี้ เองที่ควรจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ชาวล้านนาแต่ดั้งเดิม สามารถผลิตขึ้นใช้เองภายในครัวเรือนได้

เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน
          2. เครื่องเขินเชียงใหม่หรือเครื่องเขินนันทาราม เครื่องเขินชนิดนี้มีโครงสร้างเป็นโครงสานลายขัดด้วยเส้นตอกไม้ไผ่ที่มีการเหลาให้ได้ ขนาดเล็กเรียบบางคล้ายทางมะพร้าวสานขัดกับตอกเส้นบางแบนเป็นรูปแฉกรัศมีจาก ก้นของภาชนะจนได้รูปทรงตามความต้องการ โดยไม่ต้องมีการดามโครงให้แข็งเป็นที่ ที่เครื่องเขินชนิดนี้จะมีโครงที่แน่นแข็งแรงเรียบเสมอกันโดยตลอด เมื่อทารักสมุกแล้ว ขัดก็จะได้รูปภาชนะที่ค่อนข้างเรียบเกลี้ยงบาง และมีความเบาการตกแต่งของเครื่องเขิน ชนิดนี้มีลักษณะเด่นที่นิยมการขูดลาย หรือภาษาพื้นถิ่นว่า ฮายดอก
            เทคนิคการตกแต่งผิวภาชนะด้วยวิธีการขูดลายนี้ ภาชนะที่จะทำลวดลายได้จะต้อง มีผิวบางรักที่แห้งสนิทและเรียบ การฮายดอกต้องใช้เหล็กปลายแหลมคล้ายเหล็กจาร ใบลานกรีดลงไปบนผิวยางรักของภาชนะการฮายดอกต้อง อาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ให้เกิดเส้นลึกมาก จนยางรักกระเทาะออก หรือแผ่วเบาเกินไปจนทำให้ลวดลาย มองเห็นได้ยากเมื่อฮายดอกเสร็จแล้วจึงนำยางรักที่ผสมกับ ชาดสีแดงถมลงไปในร่องที่กรีดไว้รอให้แห้งอีกหลายวันแล้ว จึงขัดส่วนนอกสุดออกจนมองเห็นเส้นลวดลายสีแดงฝังอยู่ในพื้นที่สีดำของยางรัก จากนั้นจะเคลือบด้วยยางรักใสหรือรักเงา เพื่อเป็นการปิดเคลือบลวดลายทั้งหมดให้ ติดแน่นกับภาชนะเทคนิคการฮายดอกของเครื่องเขินชนิดนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของ เครื่องเขินเชียงใหม่มาแต่เดิมซึ่งต่อมาพม่าได้กวาดต้อนเอาช่างเครื่องเขินที่ทำด้วย เทคนิคชนิดนี้ว่า โยนเถ่สำหรับเครื่องเขินที่ผลิตขึ้นจากแหล่งบ้านนันทารามใน ปัจจุบันนั้น มีเทคนิคการเขียนลวดลายที่ผิวภาชนะเป็นอย่างเดียวกันแต่เป็นผลิตผล ที่เกิดขึ้นจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาเป็นพลเมืองเชียงใหม่กลุ่มใหม่ ดังนั้นจึง อาจจะเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า เครื่องเขินเชียงใหม่รุ่นหลังก็ได้
            ปัจจุบันการผลิตเครื่องเขินแบบนันทารามดูเหมือนว่าจะสิ้นสุดลง เหลือเพียงแต่การผลิตเพื่อการตลาดการท่องเที่ยว เป็นของที่ระลึกราคาถูก ที่ไร้คุณภาพและรสนิยม การฮายดอกทำกันอย่างลวกๆ ใช้สีฝุ่นสีน้ำมัน และสีสะท้อนแสงแทนชาดไม่มีการเคลือบ ลวดลายให้ติดแน่นกับผิวภาชนะดังนั้นสีสันจึงมักจะหลุดหายไปอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเครื่องเขินใหม่จากเมืองพุกามเท่านั้นที่ยังคงเป็นงานเครื่องเขินแท้ ๆ ถ้าเปรียบเทียบ กับเครื่องเขินที่ผลิตในเมืองไทย
เครื่องเขินนันทาราม
เครื่องเขินนันทาราม

            3. เครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมือง เครื่องเขินแบบนี้ส่วนใหญ่ มีโครงสานเป็น ลายขัดหรือขดให้เกิดรูปทรงแบบต่าง ๆ ตามต้องการ มีการดามและรัดขอบเป็นชั้นๆ ให้เกิดความแข็งแรงและสวยงามด้วยตอกหรือหวายการตกแต่งประดับ ประดาเกิดจากลวดลายของการสานเส้นตอกไม้ไผ่ในบางส่วน และอีกหลายส่วนเป็น การถมพื้นให้เรียบเขียนลวดลายด้วยชาดสีแดง บางทีมีการแตะ ทองคำเปลวเน้นส่วนสำคัญของลวดลายให้ เด่นขึ้นลักษณะของ การเขียนลวดลาย คือการใช้พู่กันจุ่มยางรัก หรือรักผสมชาด แล้วหยดลงบนพื้นของภาชนะเป็นจุดต่อด้วยการลากให้เป็น หางยาวออกไปทำให้เกิดลวดลายคล้ายตัวลูกอ๊อดและเมื่อมีลวด ลายเช่นนี้ติดต่อกันเป็นชุดก็จะได้รูปของกลีบดอกไม้หรือลายเครือเถาต่าง ๆ มากมาย อย่างไม่สิ้นสุด
          
เครื่องเขินแบบสันป่าตอง
เครื่องเขินแบบสันป่าตอง
             ประเภทของเครื่องเขินแบบพื้นเมืองที่แพร่หลายในอดีต คือ ขันหมากขนาดใหญ่ ทรงกระบอก ปุงใส่เมล็ดพืชและของจุกจิกทั่วไป กระบุงเล็กหรือขัน โถสำหรับใส่ของ ถวายพระและเครื่องประกอบพิธีกรรมและหีบใส่ผ้าขนาดปานกลางสำหรับพิธีแต่งงาน แต่เดิมเครื่องเขินประเภทนี้ชาวพื้นเมืองจะผลิตขึ้นใช้เองในพื้นที่ของตนไม่ได้มีการ ซื้อขายอย่างจริงจัง ดังนั้นระดับงานผีมือในเขตล้านนาจึงเป็นงานศิลปะพื้นบ้านที่เข้มข้น มิได้มีแบบแผนที่ชัดเจน ลวดลายที่เขียนก็มีลักษณะเป็นการวาดแบบสด ๆ มีการแสดงออกและแนวทางการสร้างสรรค์สูงมาก แหล่งผลิตของเครื่องเขินชนิดนี้ จะพบอยู่ในกลุ่มหมู่บ้านชาวไทยเขินที่ บ้านต้นแหน บ้านท้องฝ่าย บ้านทุ่งเสี้ยว บ้านป่าสัก บ้านเก็ด และบ้านน้ำรัก เขตอำเภอสันป่าตองเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงนิยมเรียกเครื่องเขินชนิดนี้กันโดยทั้วไปว่า เครื่องเขินสันป่าตอง นอกจากนี้ยังมีพบในบางหมู่บ้านในเขตจังหวัดลำพูนตลอดจนพื้นที่ของ อำเภอแม่ริม และอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ด้วยอย่างไรก็ตามเครื่องเขินแบบนี้ได้เลิกผลิตไปเป็นเวลานานแล้ว (ไม่ต่ำกว่าหกสิบปี) ดังนั้นเครื่องเขินแบบสันป่าตองหรือแบบพื้นเมืองที่เหลืออยู่ดังกล่าวนี้จึงอาจนับเป็นมรดกประวัติศาสตร์รุ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่และมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งสมควรแก่การที่จะต้องรักษาไว้ให้คงอยู่ในล้านนาเพื่อเป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาสืบไป